ก่อนจะหมดปี 2565 เข้าสู่ปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั้งทั้งโลกต่างคาดการณ์ว่าจะเป็นปีแห่งภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งนั่นหมายความว่า ภาวะเศรษฐกิจในบางประเทศชะลอตัวลงกว่าในปี 2565 นี้แน่นอน และจะส่งผลกระทบไปยังนานาประเทศหนักเบาแตกต่างกันไป
สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จริงแล้วภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2566 น่าจะยังมีอัตราการเติบโตในทางบวกอยู่ แต่การชะลอตัวในบางภาคธุรกิจส่ออาการมาตั้งแต่ปี 2565 นี้แล้ว อย่างกรณีของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี ที่ดูเหมือนเป็นเทรนด์เดียวกันเกือบทั้งโลก คือในช่วงโควิด19 มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดทำให้พฤติกรรมของคนทั้งโลกจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทั้งในทุกรูปแบบ
แต่เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ความต้องการเทคโนโลยีเหล่านั้นเริ่มลดลง ไม่เชื่อก็ลองสำรวจตัวเองดูว่า เมื่อคุณสามารถออกไปสังสรรค์กับเพื่อนที่ร้านอาหารได้ คุณสั่งอาหารผ่านแอปน้อยลงหรือไม่การใช้งาน Netflix, Facebook, Shopify และ Amazon ของคุณจะลดลงหรือเปล่า แต่สำหรับเจ้าของกิจการเทคโนโลยีเหล่านี้พวกเค้าลงทุนขยายตัวเร็วราวกับว่า สิ่งเหล่านี้จะยังคงอยู่กับผู้บริโภคตลอดไป
และเมื่อบวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นทุกด้านทั้งพลังงาน ต้นทุนทางการเงิน จึงทำให้สถานการณ์ของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด บางบริษัทอยู่ในสถานะที่ขาดทุนมหาศาล บริษัทไหนเติบโตขยายตัวอย่างร้อนแรง ก็มีอันต้องรัดเข็มขัดขนานใหญ่ รวมถึงการปลดพนักงานเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีทำกันมาเกือบตลอดปี 2565 นี้
เว็บไซต์ CNBC รายงานความเคลื่อนไหวของบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต่างพากันประกาศปลดพนักงานเป็นจำนวนมากในปีนี้ บริษัทสตาร์ทอัพเหล่านั้นมีฐานอยู่ทั้งในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย โดยสาเหตุที่สตาร์ทอัพเหล่านั้นต้องปลดพนักงานก็เพราะภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคไม่เอื้ออำนวยต่อกิจการเอาเสียเลย
กราฟฟิคข้างต้นแสดงจำนวนสตาร์ทอัพที่มีการปลดพลักงานในปี 2022 ซึ่งในสภาพความเป็นจริงอาจจะมีจำนวนที่มากกว่านี้ด้วย CNBC ระบุว่า กรณี Carousell มาร์เก็ตเพลสออนไลน์ ประกาศจะปลดพนักงานประมาณ 10% ของจำนวนพนักงานบริษัททั้งหมด หรือประมาณ 110 ตำแหน่ง ส่วนเดือนพฤศจิกายน GoTo Group สตาร์ทอัพที่เกิดจากการควบรวมระหว่าง 2 สตาร์ทอัพใหญ่ของอินโดนีเซีย ก็ประกาศปลดพนักงาน 12% หรือราว 1,300 ตำแหน่ง ขณะที่ก่อนหน้านี้ Sea Group บริษัทแม่ขอShopee มีการปลดพนักงานแล้วมากกว่า 7,000 คนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
“การปลดพนักงานที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดของตนเองที่มองโลกในแง่ดีเกินไป ว่าเศรษฐกิจหลังโควิดจะฟื้นตัวได้อย่างดี ทำให้เร่งใช้จ่ายเพื่อจ้างงานให้ทันต่อการเติบโตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น แต่มันกลับสวนทางจากความเป็นจริงที่ว่า เศรษฐกิจไม่ได้โตแบบที่คาดไว้ ทำให้รายได้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และสตาร์ทอัพทั้งหลายจำเป็นต้องปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดคน เพื่อทำให้บริษัทอยู่รอด” Quek Siu Rui ซีอีโอของ Carousell ให้สัมภาษณ์กับCNBC
.
ขณะที่ Jia Jih Chai ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Rainforest ผู้รวบรวมแบรนด์อีคอมเมิร์ซในสิงคโปร์ บอกว่า ขณะนี้บรรดาเจ้าของกิจการต่างระมัดระวังในการลงทุนท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ท้าทาย เพื่อให้บริษัทมีสายป่านยาวเพียงพอไปจนถึงปี 2024 (ซึ่งเป็นปีที่ถูกคาดการณฺว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น)
แม้ว่าสตาร์ทอัพเหล่านี้จะไม่ได้มีธุรกิจของคนไทย แต่อย่าลืมว่าบริษัทเหล่านี้ก็มีสำนักงาน มีการขยายเข้ามาในประเทศไทย จ้างงานคนไทยด้วยเช่นกัน ท่าทางแรงสั่นสะเทือนนี้คงจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยบ้างไ่ม่มากกก็น้อย ดังนั้นคงต้องเตรียมตัวกันให้ดีสำหรับปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงในอีกในอีกไม่กี่วันนี้ โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ยังต้องเผชิญกับฤดูหนาวตลอดปี 2023 หวังให้ทุกคนรอดพ้นความหนาวเหน็บที่กำลังจะมาถึง
อ้างอิงข้อมูลจาก