การเงิน

Snapshot ปีนี้ Look Forward ปีหน้า ลงทุนทองต้องมองอะไร?

24 ธ.ค. 65
 Snapshot ปีนี้  Look Forward ปีหน้า  ลงทุนทองต้องมองอะไร?
ไฮไลท์ Highlight
“แม้ปีนี้ทองคำจะมีผลตอบแทนเป็นลบ  แต่หากดูผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆทั่วโลก  ดูเหมือนว่าผลตอบแทนทองคำก็ไม่ได้ย่ำแย่นัก  โดยเป็นสินทรัพย์หัวตาราง(ปรับตัวลดลงน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ) แม้จะเผชิญกับปัจจัยลบอย่างหนัก  สะท้อนให้เห็นถึงความยืนหยุ่นของทองคำได้เป็นอย่างดี”

Snapshot This year

“แม้ปีนี้ทองคำจะมีผลตอบแทนเป็นลบ  แต่หากดูผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆทั่วโลก  ดูเหมือนว่าผลตอบแทนทองคำก็ไม่ได้ย่ำแย่นัก  โดยเป็นสินทรัพย์หัวตาราง(ปรับตัวลดลงน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ) แม้จะเผชิญกับปัจจัยลบอย่างหนัก  สะท้อนให้เห็นถึงความยืนหยุ่นของทองคำได้เป็นอย่างดี”

ราคาทองคำปี 2022 เปิดปีที่ 1,828 ดอลลาร์ต่อออนซ์  จากนั้นความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ  และสงครามในยูเครนได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำทั้งในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ  และสินทรัพย์ปลอดภัย  จนทำให้ราคาทองคำพุ่งทดสอบระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 2,069  ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนมี.ค.ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลดลง 7 เดือนติดต่อกันในระหว่างเดือนเม.ย.-ต.ค.โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยออกมา  และการคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)  ทั้งในแง่ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดงบดุล  เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร  ทั้งในแง่ที่เป็นตัวเงิน (Nominal)และที่แท้จริง(Real) ให้ปรับตัวสูงขึ้น  พร้อมหนุนดัชนีดอลลาร์ให้แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี 

ylg1

แรงกดดันดังกล่าว  ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลงจากระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 2,069 ดอลลาร์ต่อออนซ์มากถึง  455 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หรือ  -22% จนแตะระดับต่ำสุดของปีนี้ที่ 1,614  ดอลลาร์ต่อออนซ์  ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ราคาทองคำในตลาดโลกผันผวนอย่างมาก  ก่อนที่ราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวขึ้นในเดือนพ.ย.  เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ขณะที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง  แต่กระนั้น  หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน(วันที่ 23 ธ.ค.) ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลง 33.63 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หรือ  -1.70% จากราคาเปิดที่ 1,828 ดอลลาร์ต่อออนซ์  สู่ระดับ  1,796.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์

Look Forward : 2023

“แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะยังคงส่งสัญญาณในการประชุมเดือนธ.ค. ว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี2023  สู่ระดับ 5.1% จากระดับปัจจุบันที่ 4.25-4.50%  แต่จากความเสี่ยงที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอาจชะลอตัวลง  หรือ  ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจเลวร้ายถึงขั้นเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง  ทำให้ตลาดยังคงมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจอาจเปลี่ยนจุดยืนด้านนโยบายการเงินด้วยการกลับมา “ลด” อัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2023  หรือ  อย่างช้าคือในปี 2024  ประกอบกับดีมานด์ทองคำยังแข็งแกร่ง  โดยเฉพาะแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก  ปัจจัยเหล่านี้น่าจะทำให้ทองคำยังมีความน่าสนใจในปีหน้า” 

YLG ได้สรุปเอา 5 ประเด็นที่นักลงทุนทองไม่ควรพลาดในปีหน้า  ดังนี้

  1. Fed Policy Mistake ทำเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงถดถอย

การที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเพื่อสกัดเงินเฟ้อในปี 2022 ทำให้นักเศรษฐศาสตร์เพิ่มความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต  ทั้งนี้  Goldman Sachs คาดว่า  มีความน่าจะเป็นราว 35% ที่เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า   ส่วนผลสำรวจล่าสุดของ Wall Street Journal  บ่งชี้ว่า  นักเศรษฐศาสตร์ประเมินความน่าจะเป็นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าว 63% เพิ่มขึ้นจาก 49% ในการสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม   นับเป็นครั้งแรกที่การสำรวจระบุความน่าจะเป็นที่สูงกว่า 50% นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2020 

  1. เฟดอาจจำต้องเปลี่ยนแปลงจุดยืนด้านนโยบายการเงินจาก “คุมเข้ม”เป็น“ผ่อนคลาย”ในช่วงปลายปี 2023 

หากเฟด “ยุติ” วงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  หรือ ปรับ “ลด” อัตราตราดอกเบี้ยจะตามการคาดการณ์ของตลาด  จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกดดันดัชนีดอลลาร์ให้อ่อนค่า  ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลง  ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลหนุนราคาทองคำในปี 2023 ได้

  1. ดีมานด์ทองจีนฟื้นตัว แรงซื้อจากธนาคารกลางแกร่ง  ส่วนแรงขายใน SDPR เริ่มชะลอ

ความต้องการทองในปีหน้าคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่ง  นำโดยความต้องการบริโภคทองคำจากจีนที่อาจฟื้นตัวกลับสู่ระดับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2021 หลังจากจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19  

ขณะที่แรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางน่าจะยังแข็งแกร่งในปีหน้า  หลังจากในช่วงไตรมาส 1-3 ของปีนี้  ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำเพิ่ม 673 ตัน ซึ่งสูงกว่ายอดรวมทั้งปีของปีอื่นๆ นับตั้งแต่ปี 1967  ท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์  อีกทั้งธนาคารกลางจีน(PBOC) เพิ่งกลับมาเพิ่มทองคำสำรอง 32 ตันในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นการถือครองทองคำสำรองเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2019  ดังนั้น  แรงซื้อจากธนาคารกลางจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับทองคำในระยะยาวได้  และทำให้ทองคำยังคงมีความน่าสนใจในปี 2023 เนื่องจากสะท้อนความเชื่อมั่นของเหล่าธนาคารกลางที่มีต่อทองคำได้เป็นอย่างดี

ด้านกองทุน SPDR ได้เริ่มชะลอแรงขายในเดือนต.ค.และพ.ย.  พร้อมกลับมาเริ่มถือครองทองคำเพิ่มในเดือนธ.ค. สะท้อนความเชื่อมั่นในการลงทุนทองคำซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยหนุนราคาทองคำในปีหน้าได้

  1. ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรง ยังดำเนินต่อไป  กระตุ้นกระแส Dollarization

ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกยังคงดำเนินต่อไป  โดยความเสี่ยงสูงสุด  คือ Russia-NATO conflict  ปัจจัยดังกล่าวจะกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยสลับเข้ามาเป็นระยะ  แม้มีแนวโน้มส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำลดลง  แต่ความขัดแข้งระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก  อาจยิ่งกระตุ้นความร่วมมือระหว่างจีน-รัสเซียที่ไม่มีขอบเขต (China-Russia cooperation has no limits)” และจะเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ระดับภูมิภาคและโลกในระยะข้างหน้าต่อไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  อาจนำมาซึ่ง de-dollarization ส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ

  1. ปัจจัยทางเทคนิค

กราฟรายสัปดาห์ในปัจจุบันเริ่มกลับมามีทิศทางเป็นบวกมากขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม  หลังจากราคาลงไปทดสอบบริเวณ 1,616-1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็น Bottom ที่ทองคำลงไปทดสอบถึง 3 ครั้ง (Triple Bottom) แล้วไม่ทำ Lower Low และเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้    ก่อนที่จะ ทะลุ 1,729 ดอลลาร์ซึ่งเป็นการ Confirm เบื้องต้นของการทำ Triple Bottom

ylg2

ทำให้ YLG ขยับกรอบฐานแรกในระยะยาวมาเป็นบริเวณ 1,616-1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หากยืนได้ราคาทองคำยังมีโอกาสดีดตัวขึ้นได้  และจะคงมุมมองเชิง Bullish ไว้ได้ในปี 2023 โดยจะมีโอกาสที่ทองคำดีดขึ้นแนวต้านแรกบริเวณ 1,916-1,879  ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยมีกรอบแนวต้านถัดไปซึ่งเป็น High ของปี 2022 และ All time high บริเวณ  2,069-2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์  แต่หากหลุดบริเวณ 1,616-1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์  จะทำให้ทิศทางราคาในระยะยาวเปลี่ยนเป็นลบมากขึ้นอย่างชัดเจน  โดยมีโอกาสปรับฐานในรูปแบบที่ลึก  และมีเป้าแนวรับถัดไปจะอยู่ในโซน 1,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ฐานของราคาทองคำในปี 2555) และ 1,488 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ 

“จากพัฒนาการด้านปัจจัยทางเทคนิคในระยะยาว  บวกรวมกับปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นปัจจัยหนุนทองคำ  ทำให้ทิศทางทองคำในปีหน้ามีแนวโน้มสดใสในปีหน้า  อย่างไรก็ดี  YLG ยังคงแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในระยะสั้น  และติดตามข่าวสารประกอบการลงทุนอย่างใกล้ชิด  ควบคู่กับการใช้ปัจจัยทางเทคนิคประกอบการลงทุน  โดยสามารถติดตามข่าวสารด้านการลงทุนทองได้หลากหลายช่องทาง  ไม่ว่าจะเป็น Facebook : YLGbullion หรือ เว๊ปไซต์ www.ylgbullion.co.th  หรือสามารถโทรเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่เบอร์ 02-687-9888”

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด

advertisement

SPOTLIGHT