อินไซต์เศรษฐกิจ

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

12 มี.ค. 67
Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV
ไฮไลท์ Highlight
  • BYD แซงหน้า Tesla ในปี 2022 และครองแชมป์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEVs) ในช่วงปลายปี 2023
  • Tesla วางแผนผลิตรถไฟฟ้าขนาดเล็กราคาประหยัดในเม็กซิโก เริ่มผลิตครึ่งหลังปี 2025
  • กำไร Tesla ลดลง 40% เหลือ 71 เซนต์ต่อหุ้น รายรับเติบโต 3.5%
  • ทั้งสองบริษัทกำลังขยายตัวสู่ตลาดต่างประเทศและธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน

Tesla (TSLA) และ BYD (BYDDF) คือผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ของโลก และกำลังกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงทั้งในจีนและทั่วโลก

 
Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

รายงานของ investors ระบุว่า ศึกสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า หลายคนให้ความสนใจกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่อย่าง Nio, Li Auto, Xpeng, Rivian และ Lucid รวมถึง ความพยายามของยักษ์ใหญ่ในวงการรถอย่าง General Motors, Ford Motor, และ Volkswagen ด้วย แต่ Tesla และ BYD นั้น โดดเด่นและเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง และในปี 2022 ที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ BYD จากจีน แซงหน้า Tesla ไปแล้ว และสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ล้วน (BEVs) BYD ได้ครองแชมป์ในช่วงปลายปี 2023

Tesla ประสบปัญหาในช่วงต้นปีนี้ โดยยอดขายตกในทุกภูมิภาคหลัก แต่เชื่อว่า จะสามารถดึงยอดขายช่วงต้นปีกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ส่วน BYD นั้น ยอดขายลดลงในช่วงที่จีนมีเทศกาลตรุษจีน ซึ่งความต้องการซื้อรถมักจะลดลงอยู่แล้ว รวมถึง ผู้บริโภครอก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหลังมีการลดราคาและเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ

ล่าสุด BYD ได้ปรับลดราคารถหลายรุ่นในจีนอย่างมาก แม้ในขณะเดียวกันจะยกระดับเทคโนโลยีและเปิดตัวซูเปอร์คาร์ U9 ในราคา $233,500 ทาง Tesla ก็ได้ปรับลดราคาและมีโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายในจีนและตลาดอื่นๆ เช่นกัน ท่ามกลางสงครามราคา หุ้น BYD ร่วงลงมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ส่วน Tesla ก็กลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในดัชนี S&P 500 ในปีนี้


ยอดขาย Tesla เทียบกับ BYD ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

Tesla ไตรมาส 4 (ตุลาคม-ธันวาคม) ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 484,507 คัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ยอดส่งมอบทั้งปีแตะ 1.81 ล้านคัน เกินกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ความสำเร็จส่วนนี้มาจากยอดขายที่แข็งแกร่งในจีน ฝั่ง Tesla ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขยอดขายรายเดือนหรือแต่ละภูมิภาค แต่ข้อมูลทะเบียนรถยนต์ในยุโรปและจีนบ่งชี้ว่าความต้องการอาจไม่สูงมาก ในสหรัฐฯ สต็อกรถ Model Y มีเยอะ ในขณะที่การผลิต Model 3 น้อยมาก ซึ่งอาจชี้ว่ายอดขายน่าจะต่ำกว่าไตรมาส 4


BYD ประกาศยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเดือนธันวาคมที่สูงเป็นประวัติการณ์จำนวน 341,043 คัน (รวมรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด) ยอดขายไตรมาส 4 อยู่ที่ 942,779 คัน โดย BYD มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนๆ (ไม่มีเครื่องยนต์แบบปกติ) ในไตรมาส 4 ที่ 526,409 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 และที่สำคัญ คือ แซงหน้าเทสลาได้เป็นครั้งแรก และยอดขายทั้งปีอยู่ที่ 3,012,906 คัน เกินเป้าที่ตั้งไว้ 3 ล้านคันไปแล้ว

เดือนมกราคม BYD มียอดขาย EV อยู่ที่ 201,493 คัน สูงกว่าปีที่แล้ว 33% แต่ลดลง 41% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ EV จีนส่วนใหญ่ประสบปัญหายอดขายลดลงหลังเดือนธันวาคม ผ่านมาในเดือนกุมภาพันธ์ BYD ขาย EV ไปเพียง 122,311 คัน ซึ่งรวมรถยนต์ไฟฟ้าล้วนแค่ 54,908 คัน

 

สงครามการลดราคา

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

ฝั่ง BYD ได้ลดราคาอย่างหนักสำหรับรถยนต์ในกลุ่มราคาประหยัดและกลุ่มยอดนิยม โดยส่วนใหญ่ลดมากกว่า 10% ทางบริษัทกำลังใช้ประโยชน์จากราคาลิเธียมที่ลดลงและการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ต้นทุนต่ำที่มีระบบการผลิตแบบครบวงจร (ตั้งแต่แบตเตอรี่ มอเตอร์ และชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ รวมถึงชิพจำนวนมาก) ในขณะเดียวกัน BYD กำลังเพิ่มเทคโนโลยีอัจฉริยะให้กับรถยนต์มากขึ้น โดยมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในรุ่นเรือธงอย่าง Han และรถรุ่นยอดนิยมอื่นๆ

BYD ตั้งเป้าชิงลูกค้าจากรถยนต์ใช้น้ำมันแบบเดิมๆ อย่างชัดเจน ด้วยสโลแกน "รถไฟฟ้าถูกกว่ารถน้ำมัน" ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไปต้องลดราคาลงเพื่อรักษาการแข่งขัน รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนรายอื่นๆ ที่หลายเจ้ายังไม่สามารถทำกำไรได้ มีข่าวว่ายอดสั่งจอง BYD พุ่งสูงขึ้นหลังการลดราคา ซึ่งอาจหมายถึงยอดขายที่จะโตขึ้นมากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

ฝั่ง Tesla หลังจากที่ลดราคาอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2023 Tesla ก็ยังคงลดราคาเรื่อยๆ ในปี 2024 โดยในเดือนมกราคม บริษัทได้ลดราคา Model 3 และ Model Y ลงเล็กน้อยในประเทศจีน หลังจากที่เคยมีการปรับราคาขึ้นช่วงปลายปี 2023 และในวันที่ 1 มีนาคม Tesla ได้ประกาศลดราคาครั้งใหญ่สำหรับรถ Model 3 และ Y รุ่นเริ่มต้น โดยรวมถึงการอุดหนุนค่าประกันภัย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ราคาถูก และอื่นๆอีกมากมาย ฟากฝั่งในยุโรป Tesla ได้ตัดราคา Model Y ลงอย่างชัดเจนในหลายประเทศ เนื่องจากยอดขายที่ถดถอยและการลดเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ Tesla ได้ปรับขึ้นราคา Model Y ในตลาดหลักบางแห่งของยุโรป แต่โดยส่วนใหญ่ราคายังคงต่ำกว่าช่วงก่อนการลดราคาในเดือนมกราคม

ส่วนลดสำหรับ Model 3 ใหม่กำลังเริ่มสูงขึ้นในยุโรปตามปริมาณรถที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ Tesla ได้ปรับราคา Model 3 Long Range รุ่นปรับโฉมใหม่ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น $1,000 แต่อาจเป็นเพราะว่ามีปริมาณรถจากโรงงานฟรีมอนต์ที่จำกัด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ Tesla เคยลดราคา US Model Y สั้นๆ แต่โดยรวมแล้วรถ Model Y คันใหม่ๆ ยังลดราคาลงไปอีกมาก


Tesla vs. BYD ด้านแบตเตอรี่

ตามปกติแล้ว Tesla ไม่ได้ผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองเป็นจำนวนมาก สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Panasonic ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Tesla จะเป็นผู้ผลิตตัวเซลล์แบตเตอรี่ ส่วน Tesla จะจัดการประกอบให้ นอกจากนี้ Tesla ยังซื้อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจาก LG ของเกาหลีใต้อีกด้วย และยังเคยซื้อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) จาก CATL ของจีน

Tesla กำลังพัฒนาแบตเตอรี่รุ่น 4680 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในงาน Battery Day ปี 2020 แบตเตอรี่ 4680 เป็นลิเธียมไอออนธรรมดาแต่มีขนาดใหญ่ขึ้นจึงสามารถให้ประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้หลากหลายด้าน อัตราการผลิต 4680 ได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างต่ำ

ถึงแม้จะผ่าน Battery Day ที่โฆษณาอย่างยิ่งใหญ่มานานกว่าสามปีแล้ว Tesla ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญๆ เพื่อให้สามารถผลิต 4680 ได้จำนวนมากในราคาที่ประหยัด และยังไม่ชัดเจนว่าการพัฒนาแบตเตอรี่ตัวนี้จะให้ประโยชน์ตามที่หวังไว้หรือไม่ การที่ Tesla มุ่งเน้นไปที่ 4680 มากๆ ทำให้ไม่ได้เพิ่มการผลิตหรือจัดหาเซลล์แบตเตอรี่แบบดั้งเดิมขนาด 2170 ที่จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ

เมื่อเร็วๆนี้ Tesla ลดระยะทางวิ่งโดยประมาณลงอย่างมากในรถรุ่นสำคัญๆ ของ Model Y รวมถึง Model S และ X หลังจากมีการเปลี่ยนวิธีทดสอบของหน่วยงาน EPA ค่าระยะทางใหม่นี้จะใกล้เคียงกับการขับจริงทั่วไปมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีข่าวว่ากระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กำลังสอบสวนว่า Tesla โฆษณาเกินจริงหรือไม่


ในทางกลับกัน BYD เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยแบตเตอรี่ Blade เป็น LFP รุ่นพิเศษ ขณะนี้ BYD กำลังเร่งสร้างโรงงานแบตเตอรี่เพื่อส่งให้ผู้ผลิตรายอื่นรวมถึงทำไว้ใช้เองและทำระบบกักเก็บพลังงานด้วย ที่จริงแล้ว Tesla เองก็ใช้ชุดแบตเตอรี่ BYD ในรถ Model Y ที่ผลิตจากโรงงานเบอร์ลิน

BYD มีการพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมไอออนด้วย (คล้ายกับ CATL และรายอื่นๆ) ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ในรถ EV ขนาดเล็กหรืออุปกรณ์กักเก็บพลังงาน มีข่าวว่า BYD จะเปิดตัวแบตเตอรี่ Blade รุ่นปรับปรุงและระบบไฮบริดที่อัพเกรดขึ้นในปี 2024

ทั้ง Tesla และ BYD กำลังขยายตัวเข้าสู่วงการระบบกักเก็บพลังงาน (battery storage) ทั้งสำหรับบ้าน ที่ทำงาน หรือโครงการระดับสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ถึงแม้ Tesla จะใช้แบตเตอรี่จาก CATL ก็ตาม และ BYD ยังจับมือกับ LG เกาหลีใต้เพื่อผลิตระบบกักเก็บพลังงานในอเมริกาเหนือและยุโรปด้วย

 

แผนรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของ Tesla และ BYD

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

ฝั่ง Tesla

Tesla เคยบอกใบ้ถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ แต่ยังไม่เคยเปิดเผยภาพใดๆ บริษัทมีแผนจะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทางตะวันออกเฉียงเหนือของเม็กซิโกเพื่อผลิตรถยนต์รุ่นนี้ แต่ยังไม่ได้เริ่มสร้างโรงงานเลย Musk เคยพูดว่าจะยังไม่เร่งดำเนินการสร้างโรงงานจนกว่าดอกเบี้ยและสภาพเศรษฐกิจจะเอื้ออำนวยกว่านี้ ซึ่งมีรายงานข่าวว่าการเริ่มต้นสร้างโรงงานอย่างเป็นทางการอาจเกิดขึ้นภายในเดือนมีนาคมนี้

สำหรับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ Musk บอกว่า เขาหวังจะผลิตรถรุ่นนี้ได้ในครึ่งหลังของปี 2025 แม้ว่าจะยอมรับว่าเขามักจะมองโลกในแง่ดีเรื่องกำหนดเวลาต่างๆ นอกจากนี้ Musk ยังย้ำว่ารถไฟฟ้าขนาดเล็กนี้จะเริ่มผลิตจากโรงงานในออสตินก่อน ปกติแล้วต้นทุนค่าแรงจะมีผลอย่างมากต่อกำไรของรถยนต์ขนาดเล็ก ดังนั้น การผลิตที่โรงงานในออสตินอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น

Musk บอกว่า Tesla จะลดต้นทุนต่างๆ ในการผลิตรถรุ่นใหม่ และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ "ปฏิวัติวงการ" แต่เขาก็เคยพยายามเปลี่ยนแปลงการผลิตแบบก้าวกระโดดมาแล้วแต่ไม่ค่อยสำเร็จ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าหรือแย่กว่านั้นได้

หนึ่งในข้อดีของการผลิต EV ราคาประหยัดในเม็กซิโกคือ จะช่วยลดต้นทุนค่าแรง มีคู่แข่งในสหรัฐฯ น้อย และยังอาจได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ สูงถึง $7,500 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดหาแบตเตอรี่ที่เข้าเงื่อนไขเพื่อรับเงินอุดหนุนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้วัดความสำเร็จของรถรุ่นนี้ในอเมริกา

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

ฝั่ง BYD

BYD เร่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว เวลานี้ BYD กำลังเร่งเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ โดยจะมีโรงงานใหม่ๆ ในจีนเปิดสายการผลิตอีกในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ BYD ยังมีโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยซึ่งจะเริ่มผลิตภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ และพึ่งเริ่มสร้างโรงงานในประเทศบราซิลที่วางแผนจะเริ่มผลิตรถต้นปี 2025

BYD ยังประกาศแผนสร้างโรงงานในฮังการีและอินโดนีเซีย และมีข่าวว่าบริษัทอาจเปิดแผนสร้างโรงงานในเม็กซิโกภายในปีนี้ด้วย โดยมีข่าวว่าโรงงานในเม็กซิโกจะไม่เน้นตลาดสหรัฐฯ เนื่องจาก BYD มีความกังวลเรื่องความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน จริงๆ แล้ว BYD มีโรงงานผลิตรถบัสไฟฟ้าในรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่แล้วด้วย ส่วนในด้านอื่นๆ แม้ว่า BYD จะลดราคาเพื่อสร้างข่าวใหญ่ แต่บริษัทก็ยังเดินหน้าขยายกลุ่มรถรุ่นหรู (premium) เพิ่มเติมด้วย อาทิ

  • Yangwang แบรนด์รถสุดหรูของ BYD เริ่มส่งมอบรุ่น U8 ในปลายปี 2023
  • Yangwang เปิดตัวซุปเปอร์คาร์สมรรถนะสูง U9 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ด้วยราคาประมาณ $233,500
  • Fang Cheng Bao อีกหนึ่งแบรนด์ของ BYD เริ่มส่งมอบ Bao 5 และจะมีรุ่นอื่นๆออกมาในปีนี้ด้วย

ทั้ง Yangwang แบรนด์หรู FangChengBao และ Denza จะมีอัตรากำไรที่สูงกว่ารุ่นอื่นๆ และจะเป็นที่แรกในการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยของ BYD

BYD กำลังขยายตัวอย่างหนักไปยังตลาดต่างประเทศ ประเทศไทยกลายเป็นตลาดใหญ่ของ BYD และตอนนี้ได้เข้าไปทำตลาดในหลายประเทศแถบเอเชียแล้ว BYD ยังเป็นผู้ขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อันดับ 1 ในอิสราเอล รวมถึงเริ่มเข้ามาในตลาดยุโรปแล้วด้วย นอกจากนี้ BYD ยังมุ่งเน้นตลาดทั่วภูมิภาคละตินอเมริกา โดยเฉพาะบราซิล

แม้ว่ายอดขายจากการส่งออกยังคงเป็นส่วนเล็กๆ ในยอดขายทั้งหมด แต่ก็เติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากแทบจะไม่มีส่งออกเลยช่วงกลางปี 2022 ที่น่าสนใจคือ BYD มักจะขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดต่างประเทศด้วยราคาที่สูงกว่าในจีน ซึ่งทำให้แม้จะมีต้นทุนค่าขนส่งและอื่นๆ แล้ว บริษัทยังมีกำไรที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันมีข่าวว่า BYD เตรียมเปิดตัวระบบไฮบริดใหม่ที่จะเพิ่มระยะทางการขับขี่ให้มากขึ้นอย่างชัดเจน


รายงานผลประกอบการของ Tesla และ BYD

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

กำไรของ Tesla ลดลง 40% เหลือ 71 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่รายรับเติบโตเพียง 3.5% เป็น 25.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งกำไรและรายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย การลดราคาอย่างต่อเนื่องช่วยกระตุ้นความต้องการรถยนต์ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกำไรที่ลดลง

ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ของ Tesla ลดลงจาก 17.9% ในไตรมาส 3 และ 23.8% ในไตรมาส 4 ของปี 2022 เหลือ 17.6% ในไตรมาสนี้ สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของรถยนต์ที่ไม่รวมเครดิตภาษีนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating margin) เพิ่มขึ้น 8.2% ทำลายสถิติการลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ 7.6% ในไตรมาส 3 โดยในไตรมาส 4 ของปี 2022 นั้น อัตรากำไรอยู่ที่ 16% ซึ่งอัตรากำไรที่เห็นในไตรมาสนี้ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมรถยนต์แบบดั้งเดิม อัตรากำไรที่เพิ่งขึ้นมาได้เกิดจากการลดต้นทุนลงบางส่วน แต่ CFO ของ Tesla บอกว่าการลดต้นทุนในลักษณะนี้ได้ทำไปมากแล้ว นั่นอาจหมายถึงการที่ Tesla จะต้องลดราคาลงอีกเพื่อรักษายอดขายซึ่งจะส่งผลให้กำไรที่เคยสูงลดลงอีกต่อเนื่อง

Tesla ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยอดส่งมอบรถเพียงเล็กน้อย บอกแค่ว่าการเติบโตในปี 2024 จะ "ลดลงอย่างชัดเจน" เมื่อเทียบกับปี 2023 นักวิเคราะห์ซึ่งลดตัวเลขประมาณการของ Tesla ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายปี 2022 ตอนนี้คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2024 จะลดลง 1% เมื่อเทียบกับ 3.12 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 และด้วยยอดส่งมอบรถในไตรมาส 1 ที่ต่ำ ตัวเลขคาดการณ์อาจจะยังลดลงอีก


กำไรของ BYD เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีแรงต้านในไตรมาส 4 เนื่องจากการลดราคาอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 29 มกราคม BYD รายงานรายได้สุทธิเบื้องต้นปี 2023 อยู่ที่ 29 พันล้านหยวน (4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ถึง 31 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 74.5%-86.5% เมื่อเทียบกับปี 2022 แต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 31.5 พันล้านหยวน

คาดการณ์ผลประกอบการทั้งปี จะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 น่าจะอยู่ระหว่าง 7.6 พันล้านหยวนถึง 9.6 พันล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4%-31% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ลดลงจาก 10.4 พันล้านหยวนในไตรมาส 3 BYD อาจจะเผยแพร่ตัวเลขไตรมาส 4 และผลประกอบการทั้งปี 2023 อย่างเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ของ BYD ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 22.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2020 โดยอัตรากำไรขั้นต้นของฝั่งผลิตรถยนต์ BYD Auto พุ่งสูงถึง 25.7% อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขในไตรมาส 4 บ่งชี้ว่า อัตรากำไรตกลงพอสมควร การลดราคาและส่วนลดล่าสุดจะถูกชดเชยด้วยต้นทุนแบตเตอรี่ที่ลดลงและการประหยัดอื่นๆ แต่มีแนวโน้มว่าจะยังคงกดดันอัตรากำไรในปี 2024


เทียบมูลค่าตลาดของ Tesla และ BYD

หุ้นของ Tesla มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 566.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่ 11 มีนาคม ซึ่งลดลงมาเยอะเมื่อเทียบกับช่วงที่เคยสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็ยังสูงกว่ามูลค่าตลาดของ BYD ที่ $69 พันล้านอยู่มาก

ด้วยอัตรากำไรของ Tesla ที่ใกล้เคียงกับบริษัทผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิม และการเติบโตที่จะไม่สูงในอนาคตอันใกล้ ทำให้ราคาหุ้น Tesla ดูสูงเกินไปเมื่อคิดถึงเฉพาะธุรกิจหลักที่เป็นการผลิตและขายรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนสำคัญของมูลค่าตลาด Tesla มาจากความหวังว่า Elon Musk จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้ก้าวหน้าได้อย่างมาก

หุ้นของ BYD จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซินเจิ้น และซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ (over-the-counter) ด้วยเหตุนี้ กราฟราคาหุ้น BYDDF จึงมีความไม่ต่อเนื่อง (minigap) อยู่มาก

 

กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ของ Tesla และ BYD

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV

ธุรกิจอื่นๆ ของ Tesla

Tesla มีเครือข่ายสถานีชาร์จ Supercharger ของตัวเองในหลายประเทศที่เปิดตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอย่างออสเตรเลียที่สถานีชาร์จของบริษัทอื่นยังมีจำกัด นอกจากนี้ Tesla ยังมีธุรกิจติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ แต่นับว่ากำลังประสบปัญหาอยู่

Tesla ได้ทำข้อตกลงกับ Ford, GM, Rivian และบริษัทรถยนต์รายอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทเหล่านั้นสามารถใช้ Supercharger ในสหรัฐอเมริกาได้ นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้กำลังจะใช้มาตรฐานหัวชาร์จของ Tesla ในเร็วๆ นี้อีกด้วย ข้อตกลงและเงินอุดหนุนต่างๆ สำหรับการชาร์จไฟจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ Tesla แต่จะทำให้ความโดดเด่นและจุดดึงดูดของระบบ Supercharger ลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้คนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla น้อยลง

Tesla ยังคงมุ่งพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Autopilot และ Full Self-Driving (FSD) ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเทคโนโลยีล้ำสมัยของ Tesla ในขณะที่ FSD เป็นแหล่งรายได้และกำไรที่สำคัญ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม FSD Beta ยังคงเป็นเพียงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ระดับ 2 (ต้องมีคนควบคุมอยู่ตลอด) ไม่ใช่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติสมบูรณ์แบบระดับ 4 หรือ 5

เมื่อเร็วๆนี้ Tesla ยอม "เรียกคืน" ระบบ Autopilot ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบไร้สายเพื่อปรับปรุงระบบตรวจสอบการทำงานของผู้ขับขี่ ซึ่งเกิดขึ้นช่วงที่องค์กรความปลอดภัย NHTSA กำลังตรวจสอบอุบัติเหตุที่อาจมีสาเหตุจาก Autopilot ในขณะเดียวกันมีรายงานจาก Reuters ว่าการตรวจสอบเอกสารภายในพบว่า Tesla รู้ดีถึงปัญหาของระบบกันสะเทือนและพวงมาลัยที่อาจส่งผลต่อรถหลายรุ่นอย่างน้อยเจ็ดปีแล้ว แต่มักจะโทษผู้ขับขี่เมื่ออุปกรณ์เหล่านั้นทำงานผิดพลาด

 

Tesla vs BYD ศึกยักษ์ใหญ่ มวยถูกคู่ ชิงแชมป์โลก รถ EV
ธุรกิจอื่นๆ ของ BYD

BYD ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่มีธุรกิจติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ด้วย จุดเด่นที่สำคัญของ BYD คือการผลิตชิปของตัวเอง การผลิตชิปควบคู่ไปกับแบตเตอรี่และการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ในเครือบริษัทเอง ทำให้ BYD สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วในขณะที่คู่แข่งหลายรายต้องเผชิญกับปัญหาชิปขาดแคลนและปัญหาด้านซัพพลายอื่นๆ

ในปีหน้า BYD จะเริ่มใช้ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างน้อยระดับ 2 ในรถยนต์ Yangwang, Denza และรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นของแบรนด์ BYD เอง ระบบระดับ 2 ซึ่งหลายรุ่นใช้ Lidar กำลังกลายเป็นมาตรฐานมากขึ้นในประเทศจีน โดยเฉพาะในรถรุ่นหรู การนำระบบระดับ 2 ที่มีคุณภาพมาใช้จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ของ BYD ในปีหน้า เนื่องจากระบบเหล่านี้กำลังกลายเป็นมาตรฐานในรถระดับกลางและรถหรูรุ่นเริ่มต้นในจีน

BYD เพิ่งเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับความพยายามพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของตนเองในงานวันที่ 16 มกราคม โดยบริษัททุ่มเงินและบุคลากรจำนวนมากเพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านนี้ BYD กำลังเปิดตัวระบบระดับ 2 บางส่วนในรุ่นหรูก่อน และมีแผนที่จะใส่ในรถรุ่นหลักทั่วไปในปีหน้า

BYD Co. ส่วนใหญ่รู้จักกันดีจากฝั่งธุรกิจผลิตรถยนต์ BYD Auto ขณะที่ BYD Electronics ซึ่งมีส่วนแบ่งรายได้โดยรวมลดลงเรื่อยๆ จะมีส่วนร่วมในธุรกิจที่มีอัตรากำไรต่ำเป็นส่วนใหญ่ เช่น การผลิตชิ้นส่วนสมาร์ทโฟนและการประกอบ สำหรับในปลายเดือนธันวาคม BYD Electronics ได้ปิดดีลธุรกิจระบบการขับเคลื่อน (mobility) ของ Jabil (JBL) ด้วยมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงธุรกิจของ Apple (AAPL)

ที่มา investors

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT