การเงิน

กรุงไทยกำไรปี 66 พุ่ง 36,616 ล้าน โต สำรองสูง 37,085 ล้าน หนี้เสียลด

20 ม.ค. 67
กรุงไทยกำไรปี 66 พุ่ง 36,616 ล้าน โต สำรองสูง  37,085 ล้าน หนี้เสียลด

กรุงไทย กำไรสุทธิปี 66 จำนวน  36,616  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากรายได้จากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 19.2% แต่กำไรไตรมาส 4 ลดลง 40.6% จากไตรมาส 3 อยู่ที่ 6,111 ล้านบาท เหตุมีการตั้งสำรองกลุ่มลูกค้ารายใหญ่และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ทั้งปีตั้งสำรอง 37,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 52.4% ขณะที่ NPL ลดลงเหลือ 3.08%

ธนาคารกรุงไทยได้ประกาศผลประกอบการปี 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน  36,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.7%  เติบโตมาจากรายได้การดำเนินงานเพิ่มขึ้น 19.2% อยู่ที่ 149,465 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อขยายอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 3.22% จากปีก่อนที่ 2.60% และในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 3.41% 

ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง ในปีที่ผ่านมากรุงไทยจึงได้มีการตั้งสำรองในระดับสูงที่ 37,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 52.4% เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ยืนหยัดดูแลช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ลดภาระทางการเงิน และแก้ไขปัญหาหนี้อย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางแก้หนี้ยั่งยืนของธปท. 

สินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 2,426,108 ล้านบาท หดตัวลงเล็กน้อย -0.7% จากปีก่อน โดยเน้นการขยายสินเชื่อด้วยความระมัดระวัง 

สินเชื่อเติบโตมากสุด คือ สินเชื่อรายย่อยรวม โต 5.0% ดังนี้

  • สินเชื่อ Leasing ที่โตมากที่สุดถึง 27.9% 
  • สินเชื่อบัตรเครดิต โต 7.2% 

  • สินเชื่อส่วนบุคคล โต 6.8% 

  • สินเชื่อที่อยู่อาศัย โต 2.5% 

  • สินเชื่อรายใหญ่ โต 0.5%

ขณะที่สินเชื่อที่หดตัว มีดังนี้

  • สินเชื่อรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ หดตัวถึง -11.6%

  • สินเชื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หดตัว -8.2%

  • สินเชื่ออื่นๆ หดตัว -16.2%

นอกจากนี้ กรุงไทยยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเกี่ยวกับ IT เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้ดียิ่งขึ้น ต่อยอดดิจิทัลแบงกิ้ง เพื่อรับการเติบโตของอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio มาอยู่ที่ 41.6% ลดลงจาก 43.7% ปีที่ผ่านมา 

โดยตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูง ที่ 181.2% รองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงในทุกมิติอย่างรอบคอบ โดยหากรวมสำรองที่ได้ปรับปรุงระหว่างปี (one-time adjustment) ด้วยแล้ว Coverage ratio ของธนาคารอยู่ที่ประมาณ 190% เมื่อเทียบกับ  179.7% ในปีที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ ในไตรมาส 4 ธนาคารได้ตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันที่มีแนวโน้มของคุณภาพสินเชื่อที่เสื่อมค่าลงพร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป พร้อมบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังต่อเนื่อง ทำให้ NPLs Ratio ลดลงอยู่ที่ 3.08% และมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ระดับ 17.64%  และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 20.85% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของ ธปท. รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด

กำไรไตรมาส 4 ลดลง 40.6%

ไตรมาส 4 ปี 2566 เทียบกับไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิ 6,111 ล้านบาท ลดลงถึง 40.6% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อน ลดลง 24.6% จากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง กรุงไทยจึงได้มีการตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน แต่รายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัว  14.3%

ปี 2566 มีผู้ใช้แอปเป๋าตัง 40 ล้านราย -Krungthai NEXT 17.8 ล้านราย

​ในปี 2566 ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ โดยแพลตฟอร์มของธนาคารมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แอปพลิเคชันเป๋าตัง มีผู้ใช้งาน 40 ล้านราย Krungthai NEXT 17.8 ล้านราย และ แอปฯ ถุงเงิน 2 ล้านราย ผลจากการพัฒนาบริการทางการเงินที่ทันสมัย บนช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึงและครอบคลุม ทั้งในมิติของพื้นที่และระดับขั้นรายได้ 

โดย นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังไม่ทั่วถึงในรูปแบบ K-shaped economy  โดยภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เริ่มกลับมาเป็นปกติมากขึ้น  ส่งผลดีต่อการจ้างงานและการบริโภคภาคครัวเรือน  

ขณะที่ภาคการส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะชะลอตัว ส่งผลต่อไปถึงการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวต่ำกว่าคาด ขณะที่การลงทุนภาครัฐได้รับผลกระทบจากการเบิกจ่ายที่ต่ำกว่าปกติ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายสู่ภาวะปกติซึ่งเห็นได้ชัดจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวขึ้น ความเสี่ยงจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับภาคครัวเรือนยังมีภาระหนี้สูงทั้งในและนอกระบบ ผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยยังฟื้นตัวได้ช้า  

ธนาคารจึงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง บริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด โดยรักษาระดับของ Coverage Ratio ในระดับสูง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวภายใต้ศักยภาพที่ลดลงและการให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้สามารถปรับตัว และแก้ไขปัญหาหนี้ได้อย่างยั่งยืน 

ปี 2567 ขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI 

สำหรับ ปี 2567  ธนาคารกรุงไทยมุ่งขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมสร้างคุณค่า ตอบโจทย์ลูกค้า สู่ความยั่งยืน” เช่น การใช้ AI มาประกอบการทำงาน เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันของธนาคารและโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต 

รวมถึง ให้ความสำคัญการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศ ให้ความช่วยเหลือลูกค้าแก้ไขปัญหาหนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการทั่วไป และมาตรการเฉพาะจุด โดยเฉพาะดูแลช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถประคองตัว และรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ พร้อมให้ความสำคัญการให้สินเชื่อย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม 

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเข้าถึงการเงินในระบบ และไม่กระตุ้นให้ก่อหนี้เกินตัว ตามแนวทางการแก้หนี้ยั่งยืน หรือ Responsible Lending  ของธนาคารแห่งประเทศไทย ครอบคลุมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การช่วยเหลือกลุ่มที่เป็นหนี้เรื้อรังและเปราะบางให้สามารถปิดจบหนี้ได้โดยเร็ว 

รวมถึงการให้ความรู้ส่งเสริมวินัยทางการเงิน  ทั้งการออม การลงทุน และการป้องกันภัยทางการเงิน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความมั่นคงทางการเงินอย่างมั่นคงต่อไป   

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT