ข่าวเศรษฐกิจ

เปิดเงื่อนไขดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมช่วยหนุน GDP แค่ไหน?

14 เม.ย. 67
เปิดเงื่อนไขดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมช่วยหนุน GDP แค่ไหน?

โครงการ Digital wallet เป็นโครงการหลักที่ใช้หาเสียงของพรรคเพื่อไทย จนได้เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้แกนนำของนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการก่อหนี้สินให้กับประเทศครั้งใหญ่ ถึง 500,000 ล้านบาท 

จนล่าสุด สามารถคลอดหลักเกณฑ์ต่างๆ ออกมาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครอบคลุมประชากรไทยราว 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการกระจายเงินลงสู่ประชาชน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เท่าไหร่นั้น

วันนี้ SPOTLIGHT จะพามาดูมุมมองของโครงการ Digital wallet ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และเงื่อนไขจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

digital-wallet

เงื่อนไข Digital Wallet 10,000 บาท

  • 16+ คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป (ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน)  
  • รายได้ต่ำกว่า 840,000 บาท/ปี และมีเงินฝากรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
  • ครอบคลุมคนไทย 50 ล้านคน
  • จับจ่ายในพื้นที่ 878 อำเภอ
  • ซื้อสินค้าทุกชนิด ในร้านค้าขนาดเล็ก (ที่ ก.พาณิชย์กำหนด)
  • ยกเว้น สินค้า อบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์
  • ลงทะเบียน ไตรมาส 3 เริ่มใช้จ่าย ไตรมาส 4 ปี 2567
  • ใช้จ่ายผ่าน Super App

งบประมาณที่ใช้ในโครงการ 500,000 ล้านบาท

  • งบประมาณปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท
  • การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท
  • บริหารจัดการงบประมาณ ปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท

เศรษฐกิจไทยโตต่ำติดต่อกันการเร่งกระจายเม็ดเงินเข้าระบบมีความจำเป็น

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องเผชิญกับการเติบโตที่เปราะบาง ซึ่งในระยะหลังอัตราการเติบโตอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวเลขจีดีพีล่าสุดในไตรมาสที่ 4/2566 ซึ่งเติบโตได้เพียง 1.7%YoY จากปีก่อน และเมื่อเทียบรายไตรมาสแล้วหดตัวลง -0.6%QoQSA จากช่วงไตรมาสก่อน ขณะที่ตัวเลขทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.9% ชะลอลงจาก 2.5% ในปี 2565

เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยหลักที่จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจจะพบว่า ไทยมิได้เผชิญกับแรงกดดันจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้การส่งออกสินค้าฟื้นตัวอย่างอ่อนแอเท่านั้น แต่ในภาคอุปสงค์ภายในประเทศ การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนของภาครัฐและเอกชนต่างอ่อนกำลังลง

ปัจจัยระยะสั้นประการหนึ่ง คือ กระบวนการงบประมาณปี 2567 ที่ใช้เวลานานกว่าที่คาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนของรัฐบาล นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนยังมีทิศทางชะลอตัวลงตามรายได้ที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึงและภาระหนี้ครัวเรือน ภาวะดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังขาดแรงส่งซึ่งจะฉุดรั้งการฟื้นตัวในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจึงต้องการแรงหนุนเพิ่มเติมจากนโยบายการเงินการคลังเพื่อการฟื้นตัวที่ต่อเนื่อง

โครงการ Digital Wallet ซึ่งรัฐบาลมีแผนว่าจะเริ่มดำเนินการโอนเงินให้กับผู้เข้าร่วมโครงการในช่วงไตรมาสที่ 4/2567 จึงอาจเป็นแรงหนุนการฟื้นตัวต่อไปในระยะข้างหน้า

Digital Wallet กระตุ้นกำลังซื้อ

มาตรการกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือ Digital Wallet ถือเป็นเครื่องมืออัดฉีดเข้าระบบที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศซึ่งอยู่ในภาวะอ่อนแอ และช่วยประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลางอุปสงค์ภายนอกประเทศที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบางและมีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยหลายด้าน

โดยมาตรการ Digital Wallet นี้มีมูลค่าทั้งสิ้น 5.0 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.8% ของ GDP ซึ่งการโอนเงินโดยตรงถึงมือประชาชนเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและหนุนการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคผ่านร้านค้าปลีกในภูมิลำเนาของตนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

ทั้งยังช่วยหนุนให้กิจกรรมการค้าปลีกรายย่อยเข้าสู่ระบบ อันจะเป็นที่มาของรายได้รัฐบาลในอนาคต อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการใช้จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่สำคัญของประเทศ

คาด Digital Wallet จะหนุนการขยายตัวของ GDP ได้ประมาณ 1.2-1.6%

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงระดับล่างให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มเติมผ่านร้านค้าปลีกในพื้นที่ใกล้บ้านจากการโอนเงินโดยตรง จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นต่ออุปสงค์ภายในประเทศผ่านเงินที่ถูกหนุนเวียน ทั้งจากผู้บริโภคไปยังร้านค้าปลีก และจากร้านค้าย่อยทอดต่อไปยังเครือข่ายของระบบการค้ารวมถึงผู้ผลิต

ผลกระทบจากมาตรการนี้ต่อภาคเศรษฐกิจส่วนรวมจะเกิดขึ้นผ่านผลของตัวคูณทวีทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ซึ่งสะท้อนกลไกของการจับจ่ายใช้สอยอันจะกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา คาดว่า ตัวคูณทวีทางการคลังอยู่ที่ประมาณ 0.4-0.7 เท่า และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ GDP โดยทางการประเมินไว้ที่ 1.2-1.6% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขซึ่งคณะกรรมการ กกร. เคยคาดไว้ที่ 1.0-1.5%

Krungthai COMPASS มองว่า นโยบายนี้ถือเป็นมาตรการ Quick-win ที่จะผลักดันอุปสงค์ภายในประเทศให้สามารถฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งยังกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

สำหรับตัวเลขประมาณการจีดีพีปี 2567 ล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 2.6% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของสำนักวิจัยหลายแห่งนั้น ยังไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยบวกที่อาจเกิดเกิดขึ้นจากโครงการ Digital Wallet

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการดำเนินโครงการนี้ยังอาจต้องคำนึงผลของการโยกเงินงบประมาณ 2567 ผ่านการจัดสรรเม็ดเงินที่นำมาจากโครงการอื่น รวมถึงCrowding out effect จากต้นทุนทางการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้นตามการเร่งระดมทรัพยากรการเงินของภาครัฐ

InnovestX คาดจีดีพีไทยปี 67-68 โต 3.2 และ 3.5% จากดิจิทัล วอลเล็ต

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาดเศรษฐกิจไทยปี 67-68 โต 3.2 และ 3.5% จากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต จากเดิมที่คาดการณ์ปีนี้โตได้เพียง 3.0% 

โดยมองว่า มาตรการดังกล่าว นอกเหนือจะทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวแล้ว จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 1.0% ปีนี้ และ 1.5% ในปีหน้า จากเดิมที่คาดว่าจะโต 0.8% และจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.0% จากปัจจุบันที่ 2.7% จากสถานการณ์ Crowding-out 

digital wallet 

โครงการ Digital wallet ช่วยผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบมากยิ่งขึ้น

เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 48.4% ของ GDP มากเป็นอันดับ 14 ของโลก จาก 158 ประเทศที่มีฐานข้อมูลของ World bank โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 32.7% และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ซึ่งมีสัดส่วนเศรษฐกิจนอกระบบต่อ GDP ที่เฉลี่ยเพียง 26.7%

มีข้อมูลประชาชนและธุรกิจ SME ที่อยู่ในระบบค่อนข้างน้อย ส่วนหนึ่งสะท้อนจากการมีผู้ที่อยู่ในฐานระบบภาษีน้อย จากประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน มีผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียง 10-11 ล้านคน และมีธุรกิจนอกระบบจำนวนมาก โดยปัจจุบันนี้ มีจํานวน SME อยู่ราว 3.2 ล้านราย แต่เป็นนิติบุคคลเพียง 8.4 แสนราย หรือคิดเป็น 26% ซึ่งนั่นหมายความว่ามี SME จำนวนมากถึงเกือบ 2.4 ล้านราย หรือ 74% ที่ไม่มีข้อมูลงบการเงินในระบบฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่มักจะเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมหลายด้าน โดย จากการศึกษาของ World Bank พบว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่มักจะมีรายได้ต่อหัวในระดับต่ำกว่า มีปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำสูงกว่า มีการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลที่แย่กว่า มี Productivity ทั้งมิติของภาคธุรกิจและแรงงานที่ต่ำกว่า มี Resilience ต่อวิกฤตต่างๆ ต่ำกว่า และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ช้ากว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดเล็ก

ภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับการผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งมาตรการ Digital wallet อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยอาศัยข้อมูลเป็นแกนกลาง หรือเรียกได้ว่า Data Driven Economy ทำให้เข้าใจปัญหาที่แท้จริง ตั้งอยู่บนข้อมูลที่ดีพอที่จะนำไปสู่การตัดสินใจในการดำเนินนโยบายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะถัดไป

ที่มา : Krungthai Compass, Innovest X

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT