ข่าวเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรชี้แม้หนี้ครัวเรือนลดลง ยังต้องเฝ้าระวังเหตุสูงกว่า 80%

5 ก.ค. 66
ศูนย์วิจัยกสิกรชี้แม้หนี้ครัวเรือนลดลง ยังต้องเฝ้าระวังเหตุสูงกว่า 80%
ไฮไลท์ Highlight

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดปี 2566 มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนอาจชะลอลงมาอยู่ที่กรอบ 88.5-91.0% ต่อจีดีพี แต่ยังคงเป็นระดับไม่ยั่งยืนและต้องเฝ้าระวัง

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีการปรับตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยใหม่ ให้มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด พบว่า ข้อมูลชุดใหม่ คิดเป็นสัดส่วน 90.6% ต่อจีดีพี

โดยมียอดหนี้ครัวเรือนคงค้างในไตรมาส 1/2566 ขยับขึ้นประมาณ 7.66 แสนล้านบาท จากยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนตามข้อมูลชุดเดิมที่ 15.19 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 15.96 ล้านล้านบาทตามข้อมูลชุดใหม่ คิดเป็นสัดส่วน 90.6% ต่อจีดีพี ชะลอลงจากไตรมาส 4/2565 ซึ่งอยู่ที่ 91.4% ต่อจีดีพี และยังคงเป็นภาพการทยอยปรับลดลงต่อเนื่องหลังจากที่แตะจุดสูงสุดที่ 95.5% ต่อจีดีพีในไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา 

จากผลสำรวจภาวะหนี้สินภาคครัวเรือนทั่วประเทศ ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า สถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนบางกลุ่มยังคงมีความเปราะบางต่อเนื่อง 

โดยเฉพาะครัวเรือนรายย่อยในกลุ่มรายได้ค่อนข้างต่ำ ซึ่งต้องรับมือกับปัญหา ภาระหนี้สินที่ขยับสูงขึ้น ซึ่งในด้านหนึ่งหนี้สินที่มีอยู่เดิมในระดับสูงก็จะกลายมาเป็นอุปสรรคและข้อจำกัดในการขอสินเชื่อหรือก่อหนี้ก้อนใหม่กับสถาบันการเงิน 

ทั้งนี้ จากการเปรียบเทียบผลสำรวจภาวะหนี้สินภาคครัวเรือนทั่วประเทศ ในช่วงไตรมาส 1/2565 และไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา พบว่า 

สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ของครัวเรือนในผลสำรวจฯ (Debt Service Ratio: % DSR) จะลดลงมาเล็กน้อยมาอยู่ที่ 32.9% ในไตรมาส 1/2566 จากระดับ 33.9% ในไตรมาส 1/2565 

แต่สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ของครัวเรือนรายย่อยในกลุ่มรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ยังขยับสูงขึ้นต่อเนื่องมาที่ 34.4% ในไตรมาส 1/2566 จาก 33.9% ในไตรมาส 1/2565 สะท้อนว่า ครัวเรือนกลุ่มนี้ยังเผชิญกับปัญหารายได้ไม่สัมพันธ์กับภาระหนี้สิน นำไปสู่ปัญหาทางการเงินในด้านอื่นๆ เช่น การออมต่ำ ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอรองรับหากเกิดกรณีฉุกเฉิน แม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะทยอยฟื้นตัวกลับมาแล้วก็ตาม 

คาดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปี 2566 อยู่ที่กรอบ 88.5-91.0% 

สำหรับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนในปี 2566 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี จะชะลอลงมาที่กรอบ 88.5-91.0% ต่อจีดีพี จากระดับ 91.4% ต่อจีดีพีในปี 2565 ท่ามกลางความเปราะบางของภาคครัวเรือน แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนดังกล่าว ยังคงสูงกว่าระดับ 80% ต่อจีดีพี เป็นระดับที่ไม่ยั่งยืนต้องเฝ้าระวัง และทำให้คงเห็นทางการในหลายภาคส่วนเร่งผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินของภาคครัวเรือนออกมาอย่างต่อเนื่องในระยะข้างหน้า

จับตามาตรการแก้หนี้ครัวเรือนของภาครัฐ

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น จะเห็นว่า ธปท. ได้ผลักดันตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ดังนี้

  1. การปรับปรุงฐานข้อมูลตัวเลขหนี้ครัวเรือนของประเทศให้มีความครอบคลุมมากขึ้น 
  2. การเดินหน้าปรับปรุงกฎหมาย เพื่อขยายขอบเขตการกำกับดูแลไปยังธุรกิจเช่าซื้อลีสซิ่ง 
  3. การหารือกับสถาบันการเงินผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์เพื่อให้แนวทางความช่วยเหลือครอบคลุมลูกหนี้มากที่สุด 
  4. มีการกำหนดกลุ่มลูกหนี้เป้าหมาย 4 กลุ่มที่ต้องเร่งช่วยเหลือ พร้อมกับการเตรียมวางกรอบหลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ทั้งเรื่องเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) เกณฑ์การคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง (Risk-based pricing: RBP) และมาตรการ MacroPrudential Policy (MaPP) ซเป็นมาตรการในการดูแลการก่อหนี้ใหม่ที่ไม่พึงประสงค์ และดูแลให้การปล่อยสินเชื่อสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้และเหลือเงินเพียงพอต่อการดำรงชีพและสามารถรองรับความเสี่ยงในอนาคต 

ถือนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีจะช่วยทำให้แรงกดดันต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยทยอยคลายตัวลง เพราะมีการดูแลการก่อหนี้ใหม่ให้มีคุณภาพ ก่อหนี้ตามความจำเป็นและได้รับเงื่อนไขสินเชื่อที่สอดคล้องกับความเสี่ยง ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาลูกหนี้เก่าที่มีปัญหาการผ่อนชำระผ่านการปรับโครงสร้าง และมีมาตรการดูแลเฉพาะลงไปในกลุ่มที่เป็นหนี้เรื้อรังรุนแรง หรือ Severe Persistent Debt (เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล Revolving ที่ผ่อนหนี้มานานหลายปีแต่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น) เพื่อให้เห็นทางปิดจบหนี้ ตลอดจนการขยายความครอบคลุมด้านข้อมูลหนี้สินของครัวเรือนให้สะท้อนภาพที่ชัดเจนมากขึ้น 

ฉะนั้น การแจะก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ได้อย่างยั่งยืน และสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยจะลดลงมากและเร็วแค่ไหนในระยะข้างหน้านั้น คงต้องมีการติดตามผลสัมฤทธิ์และปรับปรุงมาตรการให้มีความเหมาะสมอยู่เป็นระยะ 

เหตุโจทย์หนี้ครัวเรือนในระยะข้างหน้านั้นยังมีความซับซ้อน เนื่องจากมีเรื่องรายได้และพฤติกรรมการก่อหนี้ของภาคครัวเรือน และโครงสร้างประชากรไทยซึ่งมีแนวโน้มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์เร็วกว่าที่คาด ซึ่งก็ทำให้ครัวเรือนมีข้อจำกัดในการแก้หนี้มากขึ้น

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT