ข่าวเศรษฐกิจ

ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าสุขภาพ พุ่ง 9% ทำค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทยสูงขึ้น

27 เม.ย. 66
ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าสุขภาพ พุ่ง 9%  ทำค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทยสูงขึ้น

บิลค่าไฟพุ่ง! กระแสไม่แผ่ว ‘ทำไมค่าไฟแพง’ ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด คนใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ในยามที่ค่าครองชีพสูงมากขณะนี้

แต่รู้หรือไม่ อากาศร้อนจัด! ไม่ใช่ค่าไฟที่แพงขึ้น แต่ยังส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอย่างอื่นสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งค่าไฟ ค่าอาหาร และค่าสุขภาพ

วันนี้ SPOTLIGHT จะพามาดูว่า ค่าใช่จ่ายในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นมีอะไรบ้าง และจะปรับเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2566 ค่าใช่จ่ายครัวเรือน เฉลี่ย/ เดือนใน 3 หมวด ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร และค่าใช่จ่ายด้านสุขภาพ อยู่ที่ราว 9,666 บาท/ครัวเรือน ขยายตัวราว 9.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่ราว 8,868 บาทต่อครัวเรือน

1. ค่าไฟฟ้า จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ในช่วงฤดูร้อนปี 2566 ค่าไฟของครัวเรือนต่อเดือนเฉลี่ยของผู้ทีอาศัยอยู่ในชุมชนเมืองเพิ่มขึ้นราว 30-50% คาดว่าค่าไฟฟ้าของครัวเรือนเฉลี่ยในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.ในปีนี้จะอยู่ที่ราว 974-1,124 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนอื่นๆ ของปีที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 871 บาทต่อครัวเรือน เป็นไปตามค่า Ft เฉลี่ยปีนี้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 

รวมไปถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าที่กลับมาสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยในช่วง มี.ค.-พ.ค. 2566 ปริมาณการใช้ไฟเฉลี่ยของครัวเรือนอาจเพิ่มขึ้นราว 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนอื่นๆ ของปี 

นอกจากนี้ อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นที่ต้องใช้อัตราการใช้ไฟฟ้ามากกว่าปกติเพื่อที่จะทำงานให้ได้เท่าเดิม ส่งผลให้ครัวเรือนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

2.ค่าอาหาร พบว่า มักจะขยับสูงขึ้น จากผลของราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่ร้อนจัด กระทบผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงหรือเกิดการเน่าเสียได้ง่ายกว่าปกติ 

โดยราคาหมูเฉลี่ยพบว่าปรับเพิ่มขึ้นราว 2% เและราคาผักและผลไม้ที่ค่อนข้างแพงกว่าปกติในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. โดยเฉพาะราคามะนาวที่ปรับเพิ่มกว่า 50% เมื่อเทียบกับราคาในช่วงเดือนอื่นๆ ของปี และธุรกิจร้านอาหารก็มีต้นทุนส่วนเพิ่มจากการที่ต้องใช้น้ำแข็งและตู้แช่เพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบบางประเภทที่เน่าเสียง่าย เช่น อาหารทะเล เนื้อสัตว์ เป็นต้น

3. ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ คาดว่า มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากการใช้จ่ายเพื่อรักษาโรคที่มากับความร้อน เช่น โรคไมเกรน อาหารเป็นพิษ โรคทางผิวหนัง เป็นต้น 

รวมถึง กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายในหมวดนี้เพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้มีโรคประจำตัว กลุ่มเปราะบาง (เด็กและสตรีมีครรภ์) และกลุ่มอาชีพที่ต้องทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานาน ขณะที่ ค่ายา/เวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงตามต้นทุน

ปี 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉลี่ยต่อเดือนทั้ง 3 หมวดนี้ (ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายสุขภาพ) จะคิดเป็นจำนวนเงินราว 9,666 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ปี 2565) ที่อยู่ที่ราว 8,868 บาทต่อครัวเรือน หรือขยายตัวราว 9.0% YoY 

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของค่าอาหารที่เป็นสัดส่วนค่อนข้างมากในค่าใช้จ่ายครัวเรือน (ราว 34%) พบว่า น่าจะทรงตัวในระดับสูงแม้จะผ่านช่วงหน้าร้อนไปแล้ว 

ขณะที่ค่าไฟฟ้าที่เป็นสัดส่วนน้อย (ราว 3%) คาดว่าอาจปรับลดลงได้ในช่วงเดือนอื่นๆ ของปีนี้ที่อากาศร้อนน้อยลง รวมทั้ง มีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากภาครัฐในเดือนพ.ค.บางส่วนด้วย 

โดยค่าใช้จ่ายครัวเรือนของทั้ง 3 หมวดนี้คิดเป็นสัดส่วนราว 39% ของค่าใช้จ่ายครัวเรือนทั้งหมด ท่ามกลางค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่รายได้ยังใกล้เคียงเดิม ทำให้ครัวเรือนต้องมีการปรับลดค่าใช้จ่ายหมวดอื่นๆ ที่อาจมีความจำเป็นน้อยกว่า เช่น ลดการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้า Non-food (เสื้อผ้า รองเท้า) เป็นต้น เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายใน 3 หมวดที่ปรับเพิ่มขึ้น

มี.ค.-พ.ค.ค่าไฟ้าคนเมืองสูง เปิดแอร์มาก จากอากาศร้อน

สภาพอากาศในช่วงเวลาอื่นๆ ของปีที่อุณหภูมิปรับลดลง อาจบรรเทาค่าไฟฟ้าให้ปรับลดลงได้บ้าง ท่ามกลางค่าครองชีพที่ยังคงสูง ขณะที่ กำลังซื้อของครัวเรือนมีจำกัด

จากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือนในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่อาจกระทบคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมืองเป็นหลักจากการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มมากขึ้น 

แต่ผลกระทบอาจจะลดลงในช่วงเดือนอื่นๆ ของปีที่อุณหภูมิไม่สูงมากนัก ก็น่าจะทำให้ค่าไฟ และความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงตาม อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพการณ์ปัจจุบันที่ครัวเรือนยังคงประสบกับภาวะค่าครองชีพที่สูง ทั้งต้นทุนพลังงาน (ค่าเดินทาง) และต้นทุนทางการเงินที่ยังยืนสูง (หากครัวเรือนมีหนี้หรือจำเป็นต้องกู้ยืม) ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉลี่ยต่อเดือนอาจจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ สภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นก็อาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายหมวดอื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ค่าครีมกันแดด ค่าเสื้อผ้า/อุปกรณ์กันแดด รวมถึงอาจมีค่าเสียโอกาสด้านการศึกษา หากต้องหยุดเรียน เช่น ในอินเดียมีการปิดเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นความร้อนที่อาจกระทบต่อสุขภาพของเด็กนักเรียน เป็นต้น 

ขณะที่รายได้ที่อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก และภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ครัวเรือนก็อาจต้องหันมาประหยัดค่าใช้จ่ายหมวดอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนให้มีความสมดุล

รักษ์โลกมากยิ่งขึ้น หนึ่งวิธีที่จะช่วลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนได้ในระยะยาว

ภาวะโลกร้อนส่งผลให้อุณหภูมิโลกมีความแปรปรวน และมีโอกาสที่ฤดูร้อนจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ 

จากรายงานของศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศ (Climate Prediction Center) แห่งองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) คาดการณ์ว่า ในช่วงปลายปี 2566 ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า อุณหภูมิเฉลี่ยในประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิกอาจสูงขึ้นอีกจากการพลิกกลับสู่ช่วงของปรากฏการณ์เอลนีโญและภาวะสภาพอากาศสุดขั้วนี้ก็อาจจะยาวนานต่อเนื่องมากกว่าในอดีต ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนของไทยอาจมีแนวโน้มที่จะร้อนขึ้นอีกในช่วงปีหน้าและปีถัดๆ ไป 

ภาคธุรกิจมีแนวโน้มปรับมาให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนส่วนเพิ่มของธุรกิจนอกเหนือจากต้นทุนการผลิตที่ยืนสูงอยู่แล้ว ทำให้ราคาสินค้าและบริการต่างๆ อาจไม่สามารถปรับลดลงได้ง่าย ซึ่งก็จะส่งผลกระทบมายังค่าใช้จ่ายของครัวเรือนให้อาจมีแนวโน้มสูงขึ้นตาม

ดังนั้น ถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนวิถีในการดำเนินชีวิตไปสู่ความรักษ์โลกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้ การหมั่นบำรุงรักษาและตรวจสอบประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ หรือหันไปใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า/เทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น การทำให้เกิด Food Loss หรือเกิดของเสียจากการบริโภคอาหารน้อยที่สุด การหันมาบริโภค Healthy Food รวมถึงการดูแลใส่ใจสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งการปรับพฤติกรรมเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยลดโลกร้อน และนำไปสู่การลดหรือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าครองชีพที่สูงทำให้ครัวเรือนยังคงต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ส่วนภาคธุรกิจที่จะทำการตลาดสินค้าและบริการต่างๆ ผู้ประกอบการคงจำเป็นต้องพิจารณาเลือกจังหวะเวลาและจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการปรับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับการปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มุ่งสู่ความยั่งยืน

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT