
ปี 2025 ที่ผ่านมา ชื่อ Prince Holding Group กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานนะบริษัทสายเทา เบื้องหลังเครือข่ายอาชญากรรมทางไซเบอร์สุดอันตราย ถึงขั้นที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องจับมือกับสหราชอาณาจักรประกาศคว่ำบาตรและดำเนินการทางกฎหมาย โดยตั้งข้อหา นายเฉิน จื้อ หรือ "วินเซนต์" ประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group ในข้อหาสมคบคิดฉ้อโกงและฟอกเงิน
สองมหาอำนาจระบุว่า บริษัทดังกล่าวเป็น "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ" และยึดบิตคอยน์มูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ได้มาจากการหลอกลวงเหยื่อทั่วโลกผ่านกลโกงรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายเฉิน จื้อ เคยโอ้อวดว่า ทำรายได้สูงถึงวันละ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัยการระบุว่า ปฏิบัติการนี้เป็นหนึ่งในการฉ้อโกงการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเงินที่ได้มานั้นถูกนำไปฟอกและใช้จ่ายอย่างหรูหรา เช่น ซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และประมูลภาพวาดของปาโบล ปิกัสโซ
รายละเอียดคำฟ้องระบุว่า Prince Holding Group ได้สร้างศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชาขนาดใหญ่ ในรูปแบบ ‘คอมเพล็กซ์’ กระจายอยู่ถึง 10 แห่ง แรงงานส่วนหนึ่งสมัครใจเข้ามาร่วมขบวนการ แต่อีกส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์และจำใจต้องทำงานหลอกลวงผู้คนทั่วโลก ซึ่งมีหลักฐานการทำร้ายทารุณแรงงานด้วย ซึ่งความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ - อังกฤษในครั้งนี้ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคดีนักศึกษาเกาหลีใต้ที่เสียชีวิตเพราะถูกทารุณกรรมในกัมพูชา
คดีการเสียชีวิตของ พัค มินโฮ นักศึกษาชาวเกาหลีใต้วัย 22 ปี ที่ถูกพบศพในรถยนต์ที่อ่าวกำปง ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2025 ได้จุดชนวนความตึงเครียดทางการทูตอย่างรุนแรง เขาถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกและบังคับให้ทำงานส่งยาเสพติดก่อนถูกขายให้แก๊งอาชญากรและถูกทุบตีอย่างหนักจนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายจากการถูกทรมาน ตามการชันสูตรศพ โดยมีเพื่อนของเขาที่ถูกช่วยเหลือออกมา ยืนยันถึงความโหดร้ายของการทารุณกรรมที่ใช้ท่อเหล็กและปืนไฟฟ้า
ขณะที่ทางการกัมพูชาได้จับกุมสมาชิกองค์กรอาชญากรรมชาวจีน 3 คนในฐานะผู้ต้องสงสัยก่อเหตุฆาตกรรม ด้านสมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ได้ออกมาประณามอย่างรุนแรง และเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาตอบสนองอย่างเต็มที่ มิฉะนั้นอาจพิจารณาใช้มาตรการทางทหารเพื่อปกป้องพลเมือง อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของพัค มินโฮได้เปิดโปงปัญหาการล่อลวงคนหนุ่มสาวชาวเกาหลีไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา โดยตัวเลขคดีการลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชาพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจจาก 17 คดีในปี 2566 เป็น 330 คดีภายในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมานี้
คดีสะเทือนขวัญของ พัค มินโฮ ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ร้ายแรงและสุดขั้วของ อาณาจักรอาชญากรรมไซเบอร์ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลโกง "หลอกหมูเชือด" หรือ Pig Butchering เป็นกลโกงที่รวมเอาการหลอกลวงให้รักแบบ Romance Scams เพื่อหลอกให้ลงทุน โดยมีเป้าหมายคือการสร้างความเชื่อใจในระยะยาว ก่อนจะขุนเหยื่อให้ลงทุนในแพลตฟอร์มปลอม และสุดท้ายก็เชือดทิ้ง ด้วยการฉกเอาทรัพย์สินทั้งหมดไป ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานผลสำรวจหลายฉบับในปี 2025 ที่ระบุว่าความเสียหายทางการเงินจากสแกมเมอร์ทั่วโลกนั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
Cybersecurity Ventures คาดการณ์ว่า ความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ทั่วโลกจะเติบโตขึ้น 15% ต่อปีในอีกห้าปีข้างหน้า โดยภายในปี 2025 คาดว่า เหยื่อไซเบอร์จะสูญเงินสูงถึง 10.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี 2015 ที่เคยสูญเสียรวมอยู่ที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ความเสียหายเหล่านี้รวมถึงการทำลายข้อมูล เงินที่ถูกขโมย การโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา การฉ้อโกง การหยุดชะงักทางธุรกิจหลังการโจมตี การสืบสวนทางนิติวิทยา การกู้คืนระบบ และความเสียหายต่อชื่อเสียง และตัวเลขนี้ถือเป็น การถ่ายโอนความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มีขนาดใหญ่กว่าความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในหนึ่งปีอย่างมาก และจะมีกำไรมากกว่าการค้ายาเสพติดผิดกฎหมายหลักทั่วโลกรวมกันเสียอีก
เจ้าหน้าที่ FBI ที่สืบสวนการบุกรุกทางไซเบอร์ระบุว่า พลเมืองอเมริกันทุกคนควรเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดของตนถูกขโมยและอยู่ใน Dark Web และใช้เพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ยังนับเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างพื้นฐาน ที่ทำให้เศรษฐกิจของเมือง รัฐ หรือทั้งประเทศหยุดชะงักได้ โดยเฉพาะการโจมตีโครงข่ายไฟฟ้าของอเมริกา ซึ่งไม่เพียงแต่มีความเป็นไปได้ แต่ยังน่าจะเกิดขึ้น และสหรัฐฯ ยังขาดความพร้อมอย่างน่าตกใจ
การคาดการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานจาก GASA Global State of Scams 2025 พันธมิตรต่อต้านการหลอกลวงระดับโลก ที่ระบุว่า ผู้บริโภคจาก 42 ประเทศสูญเสียเงินไปประมาณ 442,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการหลอกลวงทางออนไลน์ในปี 2025 โดยเก็บข้อมูลจากเหยื่อวัยผู้ใหญ่ 46,000 คนทั่วโลก นอกจากนี้ ยังพบข้อสังเกตอื่น ๆ ที่น่าเป็นห่วง ดังนี้
ช่วงต้นปี 2025 ที่ผ่านมา จีนเร่งดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ โดยส่งนายหลิว จงอี้ มือปราบทุจริต เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน มาลงพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการหลักของแก๊งที่ควบคุมโดยกองกำลังติดอาวุธ BGF ภายใต้การนำของพล.ต.หม่องชิต ตู่
นายหลิวได้หารือกับผู้นำรัฐบาลเมียนมาถึงแนวทางปราบปรามและส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับประเทศ ก่อนที่จะเดินทางมายังประเทศไทยในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 เพื่อเสนอ 4 แนวทางความร่วมมือกับไทยและเมียนมา
มีการจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการร่วมปราบปราม ระหว่างจีนกับไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา เพื่อดำเนินการในรูปแบบของปฏิบัติการข้ามชาติ ทยได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับจีนในการสืบสวนและกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมที่ใช้ไทยเป็นฐานในการฟอกเงินหรือเป็นจุดพักของแก๊งค์สแกมเมอร์ โดยมีการจับกุมและส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน รวมถึงใช้มาตรการ ตัดไฟ อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน เพื่อทำลายฐานปฏิบัติการอย่างเด็ดขาด
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นหลังคดีอื้อฉาวของ “หวัง ซิงซิง” ที่แม้ไม่ใช่ดาราแถวหน้าของจีน แต่เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดง และมีการปรากฏตัวในสื่อและโซเชียลมีเดียของจีน ข่าวระบุว่าเขาถูกหลอกลวงด้วยข้อเสนองานที่มีผลตอบแทนสูงในต่างประเทศ หวัง ซิงซิง ถูกหลอกให้เดินทางมายังประเทศไทยก่อนจะถูกนำตัวข้ามพรมแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมา ท้ายที่สุดเขาได้รับการช่วยเหลือออกมาเพราะแฟนสาวของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดการประสานงานระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าประเทศไทยจะแสดงความร่วมมืออย่างแข็งขันกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในการช่วยเหลือเหยื่อและปราบปรามเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 ที่มีการประสานงานระดับสูง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์เหล่านี้ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมากในหลายมิติ สื่อต่างประเทศแได้รายงานว่าประเทศไทยถูกใช้เป็น "ทางผ่าน" (Transit Point) ที่สำคัญในการหลอกล่อและนำพาเหยื่อข้ามพรมแดนไปยังศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมาและกัมพูชา
กรณีของกลุ่มทุนจีนเทาที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น หรือแม้แต่มีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกหรือรับสินบน สร้างคำถามใหญ่เกี่ยวกับ ความโปร่งใสและประสิทธิภาพ ของการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย และยังถูกมองว่าเป็นการจัดการที่ล่าช้าจากภาครัฐ ทำให้เกิดการวิจารณ์ว่าไทยยอมให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็นภัยคุกคามข้ามชาติ
แม้ว่ามหาอำนาจอย่างสรัฐฯ สหราชอาณาจักร จีน หรือแม้แต่หลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ จะออกมาตรการมากมายเพื่อทำลายเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ แต่ดูเหมือนว่าความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางไซเบอร์จะไม่ลดความรุนแรงลงเลยในปี 2026
2026 Fraud Management Trends รายงานฉบับใหม่ จาก Javelin Strategy & Research ได้ชี้ให้เห็นถึง 3 อาชญากรรมทางไซเบอร์สำคัญที่ต้องจับตาในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป ซึ่งได้แก่ การใช้บัญชีม้า (Money Mules) การบอทตัวแทนอัจฉริยะ (Agentic Bots) และกลโกงแฮกเกอร์เงา (Phantom Hackers)
ซูซาน แซนโด หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านการจัดการการฉ้อโกงของศูนย์เก็บข้อมูล Javelin และเป็นผู้ร่วมเขียนรายงานหวังว่า การศึกษาฉบับนี้จะกระตุ้นให้สถาบันการเงินระดับโลกชิงลงมือเพื่อรับมือกับกลโกง ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก เธอย้ำว่า "เราจะไม่เห็นยอดการสูญเสียจากการฉ้อโกงและกลโกงลดลงในปีหน้า… เพราะฉันไม่คิดว่าเรากำลังทำมากพอเลยในตอนนี้"
บัญชีม้ามีหลายประเภท บางคนเต็มใจร่วมมือกับแผนการฉ้อโกง 100% ในขณะที่บางคนอาจจะแค่ปิดหูปิดตา ไม่สนใจว่าการขายข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาจะก่อให้เกิดผลเสียอย่างไร ส่วนอีกกลุ่มคือ เหยื่อของการหลอกลวง ที่ถูกชักจูงให้โอนเงินแบบ Peer-to-Peer โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจริง ๆ และพวกเขาไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นถือเป็นอาชญากรรม
มีการสำรวจกลุ่มผู้บริโภคที่อายุน้อยกว่า 18 ถึง 24 ปี เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาจะทำ หากมีคนขอให้พวกเขาโอนเงินให้ ผลปรากฏว่าส่วนใหญ่ตอบว่า จะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีข้อเสนอเป็นเงินให้ การที่คนรุ่นนี้มีแนวโน้มที่จะยอมผ่อนปรนกฎระเบียบเล็กน้อย เพื่อแลกกับผลตอบแทน ทำให้หลายคนกลายเป็นบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว
องค์กรอาชญากรรมที่ดำเนินการเรื่องบัญชีม้ามักจะเข้าถึงนักศึกษาในมหาวิทยาลัย หรือผู้ว่างงาน ที่กำลังมองหารายได้รวดเร็ว มักจะเกิดขึ้นในรูปแบบดิจิทัล เช่น การฝากเช็คผ่านมือถือในช่องทางที่อาชญากรแนะนำ หรืออาจถึงขั้นให้อีกฝ่ายไปฝากเช็คที่สาขาของธนาคาร เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้ว อาชญากรก็จะทำการโอนออก ถอนเงินสด หรือดำเนินการตามที่พวกเขาร้องขอ
เรายังเห็นช่องทางกลโกงที่คล้ายกันผ่านข้อความตัวอักษร อีเมล หรือข้อความทาง Facebook บางครั้งมาในรูปแบบข้อเสนองานที่ทำจากที่บ้านอย่างรวดเร็ว ภายใต้ข้อความที่ชักชวนให้ทำงานพิเศษแลกค่าตอบแทน เช่น "ฉันเห็นคุณโพสต์ในกลุ่มละแวกบ้าน ถ้าคุณกำลังมองหาเงินพิเศษ ฉันช่วยคุณได้ แค่ทำเรื่องง่าย ๆ นิดหน่อย"
เมื่อการซื้อสินค้าผ่านระบบ Agentic AI (ปัญญาประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน) เริ่มเป็นที่แพร่หลาย พวกมันจะนำมาซึ่งภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เราจะแยกแยะความแตกต่างระหว่าง "บอทที่ดี" ซึ่งเป็นตัวแทนที่ทำการซื้ออย่างถูกต้อง กับ "บอทที่มุ่งร้าย" ที่ดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากลูกค้าได้อย่างไร?
แซนโดกล่าวว่า ความจริงก็คือ บอทก็คือบอท พวกมันเป็นหุ่นยนต์ พวกมันกระทำในแบบที่แตกต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง บอทที่มุ่งร้ายซึ่งทำการซื้อสินค้าชนิดเดียวกันอย่างรวดเร็ว 500 ครั้ง ย่อมดูน่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับบอทตัวแทนที่ควรจะใช้เวลาในการเลือกชมสินค้า แต่ธนาคารและร้านค้าอาจยังไม่พร้อมที่จะแยกแยะความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้
แซนโดเชื่อว่า เราจะได้เห็นอาชญากรเลียนแบบบอทตัวแทนอัจฉริยะ พวกเขาจะเขียนโค้ดตัวแทนของตนเองเพื่อแอบอ้างเป็นตัวแทนของ Visa และส่งข้อความหรืออีเมลว่า "นี่คือตัวแทนใหม่ของ Visa คลิกที่นี่เพื่อลงทะเบียน" ในทางกลับกัน อาจมีบอทตัวแทนจากคู่แข่งที่เสนอข้อเสนอดึงดูดใจให้มาใช้บริการ พวกเขาสามารถขโมยได้ไม่เพียงแต่เงินของเหยื่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อมูลทางการเงินส่วนบุคคลด้วย
แผนการล่าสุดที่ซับซ้อนคือ "กลโกงแฮกเกอร์เงา" อาชญากรจะติดต่อเหยื่อเป้าหมายผ่านการโทรศัพท์หรือช่องทางแชท โดยอ้างตัวเป็นฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคและบอกว่าคอมพิวเตอร์ของเหยื่อถูกแฮก เหยื่อจะถูกกระตุ้นให้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ ซึ่งจะทำให้นักต้มตุ๋นสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์จากระยะไกล รวมถึงบัญชีทางการเงินของเป้าหมายได้
จากนั้น อาชญากรที่แอบอ้างเป็นพนักงานจากสถาบันการเงิน จะบอกเหยื่อว่า พวกเขาจำเป็นต้องย้ายเงินของตนไปยังที่ที่ปลอดภัย เช่น บัญชีปลอมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือหน่วยงานรัฐบาล เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือจอมปลอมให้กับแผนการนี้ อาชญากรคนที่สามจะก้าวเข้ามาสวมบทบาทเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล การที่มีหลายขั้นตอนพิเศษเหล่านี้ และมีบุคคลหลายคนติดต่อเข้ามา ทำให้สถานการณ์ที่ดูเหมือนร้ายแรงยิ่งมีความชอบธรรมมากขึ้น
แซนโดเตือนว่า "ถ้ามีคนติดต่อคุณมาเรื่องปัญหาด้านเทคนิคและบอกว่าคอมพิวเตอร์ของคุณถูกแฮก ตั้งแต่แรกคุณอาจจะคิดว่า 'โอ้ นี่ดูไม่น่าเชื่อถือเลย' แต่ถ้ามีคนจากธนาคารของคุณโทรหาคุณ และพวกเขาใช้เทคนิคปกปิดเบอร์โทรศัพท์บนมือถือของคุณให้แสดงชื่อธนาคารในขณะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะไหวตัวทันว่าพวกเขาไม่ใช่ตัวแทนจากธนาคารจริง ๆ