เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูงถึง 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ความเปลี่ยนแปลงและความปั่นป่วนของโลก อย่างความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน จึงกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่กำแพงภาษีของสหรัฐฯภายใต้การบริหารของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยตรง
เมื่อซัพพลายเชนของโลกเปลี่ยน ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมของไทยส่วนหนึ่งถูกบังคับให้ต้องเดินออกจากเกม ไม่ได้ร่วมทางในห่วงโซ่อุปทานอีกต่อไป ทั้งด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแหล่งซัพพลาย หรือเหตุผลเรื่องการเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ เช่น เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงว่าหลายๆ ธุรกิจที่ย้ายเข้ามาผลิตหรือประกอบสินค้าในไทย ก็มักจะนำซัพพลายเชนเข้ามาด้วย ไม่ได้มาใช้ซัพพลายในไทยเหมือนที่เคยเป็นในอดีต
แล้วอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่เกิดและเติบโตขึ้นมาจากการเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนระดับโลก จะอยู่รอดได้อย่างไร จะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ได้อย่างไร ? ผู้ส่งออกจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้อยู่รอดและยังมีโอกาสในโลกที่การค้ามีอุปสรรคมากขึ้น ไม่ค้าขายกันอย่างเสรีเหมือนที่เคยเป็นมาในช่วงหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ ?
SPOTLIGHT ขอชวนแกะดูปัญหา พร้อมสำรวจหาทางรอดและโอกาสของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทย จากการพูดคุยกันอย่างเข้มข้นของ วิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย และวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บนเวที ‘Panel Discussion: ผนึกพลังทางการค้า เปลี่ยนความท้าทายสู่โอกาส’ ในงานสัมมนา ‘A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry’ ซึ่งจัดขึ้นในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 โดย ‘กรุงเทพธุรกิจ’ และ ‘Sustainability Expo’
ในความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าภาครัฐต้องมีบทบาทในการช่วยเหลือและสนับสนุนภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ
วิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเรื่องปกป้องหรือช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึงการช่วยเหลือปกป้องผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SME เพราะผู้ประกอบการ 99% ในประเทศไทยเป็น SME
รองปลัดบอกว่า SME ทั่วโลกประสบอุปสรรคปัญหาคล้ายๆ กัน 3 เรื่อง คือ (1) ขาดเงินทุนในการขยายกิจการ (2) ขาดมาตรฐานที่เป็นมาตรฐานสากล และ (3) ขาดโอกาสในการเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของบริษัทใหญ่ ดังนั้น ภาครัฐจะทำเพื่อช่วย SME คือ จะปิดทั้ง 3 อุปสรรคนี้ โดย
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมโฟกัสลงไปที่เรื่องมาตรฐานอีกว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ที่จัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรม ปัจจุบันมี 3,000 มาตรฐาน กระจายใน 144 ผลิตภัณฑ์ และตั้งเป้าจะจัดทำมาตรฐานเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจะสร้างความเข้าใจสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการทำให้ได้มาตรฐาน แม้ว่าบางมาตรฐานจะไม่ได้บังคับก็ตาม
นอกจากนั้น รองปลัดชี้อีกว่า หลายๆ ประเทศใช้มาตรฐานสินค้าเป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า ดังนั้น การทำให้ได้ตามมาตรฐานจึงเป็นความจำเป็น เป็นทางรอดและโอกาสในการส่งออก
ด้าน ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาหอการค้าไทย แชร์ข้อมูลจากฝั่งผู้ประกอบการว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคในเรื่องมาตรฐานของ SME คือ ต้นทุนและความคุ้มค่า การตรวจมาตรฐานมีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ประกอบการที่จะตรวจมาตรฐานแล้วยังมีกำไรต้องมียอดขายสูงพอสมควร ยกตัวอย่างการทำมาตรฐานสินค้าออร์แกนิก ถ้ายอดขายไม่ถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน จะไม่สามารถจ่ายค่าตรวจได้ เพราะค่าตรวจมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 1 แสนถึง 2 แสนบาท
ดังนั้น ดร.วิศิษฐ์จึงฝากว่า การจัดทำมาตรฐานต่างๆ ควรคำนึงด้วยว่า SME สามารถทำได้หรือไม่ และควรมีการช่วยเหลือสนับสนุนจากภาครัฐที่จะทำให้ SME ผลิตสินค้าได้มาตรฐาน เช่น สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจมาตรฐาน เพื่อให้เป็นต้นทุนในส่วนนี้ต่ำลง
ฝั่ง วิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรม เสริมประเด็นนี้ว่า การเลือกตลาดให้ชัดเจนจะช่วยลดต้นทุนการทำมาตรฐานได้ เพราะแต่ละตลาดใช้มาตรฐานที่ต่างกัน ซึ่งการทำให้ได้เฉพาะมาตรฐานของตลาดที่จะส่งไปย่อมต้นทุนต่ำกว่าการทำหลายๆ มาตรฐาน
ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นขาลงของการค้า ไม่ใช่แค่ไทยแต่เป็นขาลงของทั้งโลก หลายเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาล้วนแต่กดดันเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมไทย ทั้งเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย นอกจากนั้น อีกปัญหาหนึ่งที่ภาคส่งออกไทยประสบในช่วงที่ผ่านมา คือ ค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งกระทบการส่งออก เพราะทำให้สินค้าไทยราคาไม่สูง ไม่มีความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
สำหรับการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทางการค้า ดร.วิศิษฐ์บอกว่า ตอนนี้อุตสาหกรรมในประเทศไทยเร่ิมพิจารณาเพิ่มเติมแล้วว่า วัตถุดิบและชิ้นส่วนในการผลิตจากแหล่งใดบ้างที่นำมาใช้แล้วยังสามารถส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของไทยได้ ขณะเดียวกันก็มีการมองหาตลาดอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งบางตลาดสำคัญ อย่างสหภาพยุโรป (EU) อยู่ระหว่างรอเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) แล้วเสร็จ
วิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ขยายประเด็นการหาตลาดใหม่ว่า การส่งออกของไทยต้องพิ่มความหลากหลายของตลาด เพราะตอนนี้ความกระจุกตัวของตลาดสูง โดยไทยส่งออกไป 4 ตลาดหลัก คือ ยุโรป จีน สหรัฐอเมริกา และอาเซียน รวมกันคิดเป็น 60% ของการส่งออกทั้งหมด
ทั้งนี้ วิวรรธน์บอกว่า ผู้ประกอบการ ทั้งสภาหอฯและสภาอุตฯ ได้คุยกับศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้วในเรื่องการเพิ่มความหลากหลายของตลาดโดยหาตลาดใหม่ด้วยสินค้าเดิม เพราะว่ากำลังซื้อในประเทศขยับช้า แต่ในตลาดโลกยังมีหลายภูมิภาคที่เศรษฐกิจดีหรือไม่แย่ ดังนั้น จึงต้องเร่งนำสินค้าออกไปขายให้คนที่มีกำลังซื้อมากขึ้น
ส่วนเรื่องความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอธิบายว่า ความสามารถในการแข่งขันพิจารณาจาก 4P คือ product (สินค้า) price (ราคา) place (สถานที่-ช่องทางจำหน่าย) และ promotion (การส่งเสริมการขาย)
“ตอนนี้ product เราสู้ได้ เพียงแต่ว่าเราเข้าใจหรือไม่ว่าเราจะไปขายให้เขาอย่างไร หรือราคาเราจะสู้ได้ไหม อย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เราเคยขายให้ประเทศพัฒนาแล้ว ถ้าเราจะกลับมาขายให้ประเทศกำลังพัฒนา เราจะสู้เรื่องต้นทุนได้หรือไม่”
ส่วน place ช่องทางการขาย วิวรรธน์บอกว่า ตอนนี้โอกาสเปิดมากขึ้น เพราะแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาทำให้ทั่วโลกมองตรงกันเรื่องลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ จึงเปิดโอกาสให้การเจรจาทางการค้าผ่อนคลายขึ้น
“เราลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯไม่ได้ เพราะตลาดใหญ่มาก แต่จะทำอย่างไรให้การค้าสมดุล ถ้าเราค้าขายขายกับใครแล้วเราขาดทุนตลอดเวลา เราก็คงไม่อยากค้าขายด้วย ก็เป็นธรรมดา เราว่าสหรัฐฯไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนจากที่ได้กำไรจากสหรัฐอเมริกา ไปเอากำไรจากตลาดจากอื่นบ้าง ลดการขาดดุลที่อื่นลงบ้าง คงต้องเจรจา FTA มากขึ้น” รองประธาน ส.อ.ท.แสดงความเห็น
ปฏิเสธไม่ได้กับข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าที่ไทยผลิตส่วนใหญ่เป็นสินค้าโลกเก่า เป็นสินค้าแบบดั้งเดิมที่ไม่ค่อยมีนวัตกรรม หรือหลายคนก็พูดแบบแรงๆ ว่า เป็นสินค้า ‘ตกยุค’ จึงเป็นคำถามว่าภาคอุตสาหกรรมและภาคส่งออกของไทยจะยังใช้ ‘สินค้าเดิม’ ที่มีอยู่ส่งไปขาย ‘ตลาดใหม่’ ได้หรือไม่
คำถามนี้ ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย อธิบายว่า คำว่า ‘ตลาดใหม่’ เป็นได้ทั้งการทำสินค้าใหม่ไปตลาดเดิม หรือการทำสินค้าเดิมไปขายตลาดใหม่ หรือการทำสินค้าใหม่ไปขายตลาดใหม่
ดร.วิศิษฐ์บอกว่า สินค้าเดิมยังขายได้ แต่ไม่ควรเป็นสินค้าเดิมที่ไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลย ต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างย่ิงในตลาดเดิม เพราะมีการแข่งขันในตลาดสูงมาก หากสินค้าใดขายดีจะมีคู่แข่งผลิตออกมาตามกัน จากที่เคยเป็น blue ocean (ตลาดที่คู่แข่งน้อย) ก็จะกลายเป็น red ocean (ตลาดที่คู่แข่งมาก)
รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยย้ำว่า ทุกอุตสาหกรรมต้องมีการปรับเปลี่ยน หรืออย่างน้อยต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน เพราะถ้าไม่ปรับเปลี่ยนเองก็จะต้องโดนบังคับให้ต้องปรับ โดยยกตัวอย่างว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ที่เปลี่ยนรูปแบบพลังงานแล้วส่งผลกระทบอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและการลงทุนในประเทศไทย
ส่วนสิ่งที่ ดร.วิศิษฐ์มองว่า ยังเป็นจุดอ่อนของสินค้าไทยคือ ขาดการเล่าเรื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ทำให้โลกยังไม่รู้ว่าไทยมีของดีอะไรบ้าง
แม้สินค้าเดิมๆ ที่มีอยู่จะขายได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสินค้าที่ไทยผลิตนั้นไม่ใช่สินค้าที่มูลค่าสูงและให้กำไรมาก ดังนั้น ขณะที่ยังขายสินค้าเดิมได้ ก็ต้องพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงขึ้นมา
วิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 60% ของจีดีพีไทย แต่สินค้าส่งออกเป็นของคนไทยน้อยมาก เกินครึ่งเป็นของบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งไทยได้แค่ค่าแรงไทย มีสถานะเป็นแค่การรับจ้างผลิต (OEM)
“ทางสภาอุตสาหกรรมแก้โจทย์นี้มาแล้ว เรามองว่าถ้าจะให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนยืน และไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องกระแสการค้าโลก เราต้องสร้างสินค้าของเราให้มีคุณค่า เรามีภาคการเกษตร มีความหลากหลายทางชีวภาพ และเรื่องความยั่งยืน เราพยายามลดคาร์บอนอย่างไรก็ลดได้หมด จำเป็นต้องมีการสร้างออกซิเจนมาชดเชย ต้องมีการปลูกป่ามากขึ้น เมื่อมีการปลูกป่าก็จะมีผลผลิตที่ได้จากป่า มีสมุนไพร มีไม้ เราจึงเลยมองเรื่องไบโอเทคโนโลยี”
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสนอแนวทางว่า อุตสาหกรรมที่ไทยควรมุ่งไปในอนาคต คือ อุตสาหกรรมที่อิงกับการเกษตรและความหลากหลายทางชีวภาพ นั่นคือ ไบโอเทคโนโลยี ไบโอฟาร์มา ไบโอคอสเมติก อาหารเพื่อสุขภาพ และพลังงานสะอาด ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ใช้ทรัพยากรน้อยแต่ได้มูลค่าสูง
ขณะเดียวกัน ภาคการเกษตรที่ใช้ทรัพยากรมาแต่ได้มูลค่าต่ำยังต้องทำ แต่ต้องพยายามทำให้ได้มูลค่าสูงขึ้นและทำอย่างยั่งยืน โดยทำให้เป็น smart farming นำเทตโนโลยีเข้ามาช่วยให้ได้ผลผลิตมากขึ้น ต้นทุนต่ำลง ได้กำไรมากขึ้น ซึ่ง ส.อ.ท.มีหลายโครงการที่ทำร่วมกับภาคเอกชน ภาคเกษตรกรรม โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยให้เกษตรกรทำการเกษตรได้ผลผลิตมากขึ้น
“ถ้าเรายังทำแบบเดิมๆ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มันก็จะข้ามหัวเราไปอยู่ที่เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศไทยต้องแต่งตัวใหม่ให้ดูสวยกว่าเดิม ดูแตกต่าง ดูหล่อ ดูสมาร์ทกว่าเดิม แล้วดึงคนเข้ามา”
รองประธาน ส.อ.ท. ฉายภาพอีกว่า การสร้างนวัตกรรมมีแนวทาง 3B คือ Build (สร้าง) ซึ่งไทยเราทำกันอยู่แล้วคือการผลิตสินค้าใช้เอง บางอย่างที่ยังสร้างเองไม่ได้ ต้อง Buy (ซื้อ) องค์ความรู้เข้ามา แล้วนำมาปรับเปลี่ยนพัฒนา และสุดท้ายเป็นขั้นตอน Branding (การสร้างแบรนด์) ทำให้คนทั่วโลกเชื่อว่าสินค้าจากไทยเป็นสินค้าที่ดี เหมือนที่เขาเชื่อในอาหารไทย ซึ่งหนึ่งในวิธีการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ คือ การสร้างและบอกเล่าสตอรี่ของสินค้า