Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
โอกาส ความเสี่ยง ความเป็นไปได้ แลนด์บริดจ์ล้านล้านที่รัฐบาลดันสุดใจ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

โอกาส ความเสี่ยง ความเป็นไปได้ แลนด์บริดจ์ล้านล้านที่รัฐบาลดันสุดใจ

19 ก.ย. 68
07:53 น.
แชร์

อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย พร้อมประกาศ 4 นโยบายเร่งด่วน 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง ด้านภัยธรรมชาติ และด้านภัยสังคม ซึ่งหนึ่งในนโยบายด้านเศรษฐกิจ คือ เดินหน้าอภิมหาโปรเจ็กต์ ‘แลนด์บริดจ์’ 

แม้ว่าโครงการขนาดใหญ่อย่างแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการที่มีภาระผูกพันงบประมาณระยะยาว ต่างจากรัฐบาลที่จะมีอายุสั้นเพียง 4 เดือน แต่นายกฯคนใหม่ก็ยืนยันว่าสามารถผลักดันได้ แล้วเดินหน้าศึกษาดำเนินการต่อเนื่องไปได้ในระยะยาว 

โครงการมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาทนี้ ถูกคัดค้านและตั้งคำถามมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเพื่อไทย ทั้งในแง่ความคุ้มค่าทางงบประมาณ และในแง่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน 

เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ‘คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา’ ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่เสนอให้รัฐบาลชะลอการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ และชะลอการผลักดันร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (กฎหมาย SEC) เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับกระบวนการการศึกษาจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุภาพ (EHIA) ที่มีปัญหาทั้งในแง่กระบวนการ คือ ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการรับฟังความเห็น และในแง่เนื้อหาการศึกษาที่ไม่ตรงกับรายงานการศึกษาเดิม ขอบเขตการศึกษาไม่ครอบคลุมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา พิพัฒน์ รัชกิจประการ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า รัฐบาลอนุทินจะเดินหน้าแลนด์บริดจ์แน่นอน 

ท่ามกลางความพยายามผลักดันกับความพยายามคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ SPOTLIGHT ชวนทบทวนความเป็นมา และซูมดูโอกาส ความเสี่ยง ความท้าทาย และความเป็นไปได้ของอภิมหาโปรเจ็กต์มูลค่า 1 ล้านล้านโครงการนี้ 

‘แลนด์บริดจ์’ คืออะไร

แลนด์บริดจ์ เป็นโครงการก่อสร้างสะพานเศรษฐกิจระยะทางยาว 89.35 กิโลเมตร เชื่อมต่อระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย ประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดชุมพร และท่าเรือน้ำลึกฝั่งอันดามันที่จังหวัดระนอง ทางหลวงพิเศษขนาด 6 ช่องจราจร พร้อมถนนบริการด้านซ้ายและขวาของทางหลวงพิเศษ รถไฟรางคู่ (ขนาดรางมาตรฐาน และขนาดราง 1 เมตร) ที่จะใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งทะเล 

ทั้งนี้ คาดว่าท่าเรือทั้งสองจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ฝั่งละ 20 ล้าน TEUs (คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต) หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการขนส่งทางทะเลที่ผ่านสิงคโปร์ในปัจจุบัน 

‘แลนด์บริดจ์’ เป็นนโยบายภูมิใจไทย

โครงการแลนด์บริดจ์ หรือชื่อเต็มๆ ว่า ‘โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน’ เสนอโดย สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ในปี 2564 สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะที่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ จากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และต่อมาพรรคภูมิใจไทยก็ได้เสนอนโยบายผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ต่อในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ว่าจ้างศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาผลกระทบของโครงการนี้ ในชื่อ โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของประเทศไทย ซึ่งจุฬาฯได้ส่งรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 โดยได้ข้อสรุปว่า โครงการแลนด์บริดจ์ไม่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ 

หลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลในปี 2566 มีข่าวว่า สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจากพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่สานต่อโครงการแลนด์บริดจ์ แต่ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยได้ออกมาร้องขอให้ทบทวนและพิจารณาเดินหน้าโครงการ 

แม้ว่าจะมีรายงานการศึกษาสองฉบับ ซึ่งผลการศึกษาค่อนข้างต่างกัน แต่กระทรวงคมนาคมได้นำผลการศึกษาฉบับของ สนข.มารายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แล้วที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 16 ตุลาคม 2566 มีมติรับทราบโครงการ และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการรับฟังความเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (road show) 

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สรุปผลการศึกษาแล้ว และคาดว่าจะเดินหน้าคัดเลือกผู้ลงทุนได้ในปี 2569 เริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2569 และเปิดดำเนินการได้เร็วที่สุดในปี 2573

โอกาสที่ไทยจะได้หากมีแลนด์บริดจ์

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม จัดประชุมสรุปผลศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมอ่าวไทย–อันดามัน โดยผลการศึกษาระบุว่าโครงการแลนด์บริดจ์ถือเป็นโอกาสของประเทศไทยในการเปิดประตูการค้ารองรับการนำเข้าและส่งออกของไทย เพื่อรองรับการนำเข้าและส่งออกในภูมิภาคอาเซียน และจีนตอนใต้ 

เนื่องจากที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 37.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่ 25%  ขนส่งทางเรือผ่านช่องแคบมะละกา ขณะที่ช่องแคบมะละกามีความหนาแน่นและแออัดที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านเข้าออกประมาณ 90,000 ลำต่อปี และคาดว่าจะเกินความจุภายในปี 2573

ผลการศึกษาของ สนข.ระบุว่า โครงการแลนด์บริดจ์จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจาก 4% เป็น 5.5% หรือเพิ่มขึ้น 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ จะมีการสร้างงานในพื้นที่ 280,000 ตำแหน่ง และโครงการมีอัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) คิดเป็น 17.38%

ความเสี่ยง-ผลเสียที่ต้องแลก

ความเสี่ยงและผลเสียที่ต้องแลกนั้น มีหลายเสียงเตือนว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะสร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ 

การศึกษาของศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมว่า โครงการแลนด์บริจด์จะกระทบต่อพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติประมาณ 12.59 ตารางกิโลเมตร พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าควนแม่ยายหม่อนประมาณ 0.62 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar site) บริเวณปากคลองกะเปอร์ 1.15 ตารางกิโลเมตร รวมทั้งเส้นทางการเดินเรืออาจส่งผลกระทบต่ออุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากคลองกะเปอร์-ปากแม่น้ำกระบุรี ที่ได้รับการจัดลำดับความสำคัญเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ 

ด้าน นรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ซึ่งเสนอให้รัฐบาลชะลอการผลักโครงการ ได้เตือนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมว่า พื้นที่ที่จะก่อสร้างท่าเรือมีส่วนทับซ้อนกับพื้นที่ที่เคยถูกเสนอเป็นพื้นที่มรดกโลก หากก่อสร้างจะสูญเสียคุณค่าทางธรรมชาติอย่างถาวร 

เขาบอกลงรายละเอียดว่า พื้นที่ก่อสร้างท่าเรือที่จังหวัดระนองนั้นมีขนาดเท่ากับเกาะพยาม ขณะที่ท่าเรือที่ชุมพรมีขนาดใหญ่ประมาณ 3.5 เท่าของเกาะหลีเป๊ะ ต้องใช้หินและดินถมทะเลในปริมาณมาก ซึ่งการดูดทรายและการถมทะเลมีความเสี่ยงต่อการกัดเซาะชายฝั่ง เกาะพยามและชายฝั่งใกล้เคียงอาจเสียหาย การระเบิดภูเขาเพื่อขนหินและเดินเรือจำนวนมากก็ทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์น้ำ อีกทั้งกรมชลประทานมีแผนสร้างเขื่อน 9-13 แห่ง เพื่อป้อนน้ำให้กับโครงการ ทำให้ชุมชนต้องแย่งชิงการใช้น้ำกับโครงการด้วย  

ส่วนผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจชุมชน นรเศรษฐบอกว่า หากโครงการนี้เกิดขึ้นจะมีชาวมอแกลนและคนไทยพลัดถิ่นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ถูกย้ายถิ่นฐานและไม่มีที่รองรับ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติบริเวณเกาะพยามก็จะได้รับผลกระทบหนัก ธุรกิจที่พักประมงจะเสียหาย และมีการรายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ประเมินมูลค่าชาวประมงต่ำกว่าความเป็นจริง 

สำหรับกฎหมาย SEC นั้น นรเศรษฐเปิดเผยว่าประชาชนกังวลในเรื่องอำนาจของคณะกรรมการที่อาจล้นเกินและเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน และการตัดถนนจากชุมพรไประนองผ่านพื้นที่พะโต๊ะซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่ปลูกทุเรียนและกาแฟที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี จะทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรน้ำ เพราะเป็นการตัดผ่านแหล่งน้ำสำคัญที่ใช้ในการเกษตร อีกทั้งมลพิษจากนิคมอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นอาจถูกพัดเข้าสู่พื้นที่เกษตร ส่งผลต่อผลผลิตและสุขภาพของประชาชน และเรื่องการท่องเที่ยว อาจสูญเสียจุดขายด้านธรรมชาติและวิถีชีวิตดั้งเดิม

ความเป็นไปได้ของแลนด์บริดจ์

แม้การศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้ตัวเลขว่า แลนด์บริดจ์จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจาก 4% เป็น 5.5% หรือเพิ่มขึ้น 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ 

แม้การศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้ตัวเลขว่า แลนด์บริดจ์จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจาก 4% เป็น 5.5% หรือเพิ่มขึ้น 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) 17.38%

แต่การศึกษาของศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเมินความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ โดยประเมินผลประโยชน์ของโครงการที่มีต่อระบบเศรษฐกิจจาก 5 ตัวชี้วัด คือ (1) ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและดำเนินงานโครงการ (2) ประมาณการผลประโยชน์ด้านเศรษฐศาสตร์ (3) มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการ (4) อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) และ (5) อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) ได้ข้อสรุปว่า โครงการแลนด์บริดจ์ไม่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ โดยมีอัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) 1.24% เท่านั้น 

ความท้าทายและความเป็นไปได้ จากมุมมองต่างชาติ

ยูจีน มาร์ก (Eugene Mark) นักวิจัยสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS Yusof-Ishak Institute) เขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 ว่า ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับการรับมือกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจโลก การแข่งขันกับท่าเรือที่ทันสมัยในประเทศเพื่อนบ้าน การสร้างความมั่นใจในความคุ้มค่าทางการเงิน และการกระจายแหล่งเงินทุน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความเป็นอิสระในทางยุทธศาสตร์ (Strategic Autonomy) 

มาร์กมองว่า ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของโครงการนี้ คือ การสร้างความคุ้มค่าทางการเงิน การมีเงินทุนที่เพียงพอ ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อมั่นของนักลงทุน ถัดจากนั้นเป็นความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ 

ในด้านเงินลงทุนนั้น มาร์กมองว่าหากไทยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากประเทศต่างๆ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการพึ่งพาแหล่งเงินทุนเพียงแหล่งเดียวอย่างที่หลายๆ ประเทศพึ่งพาเงินทุนจากจีน อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการดึงดูดปริมาณการขนส่งและสร้างผลตอบแทนที่มากพอ ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง

สำหรับความเป็นไปได้ของโครงการ มาร์กวิเคราะห์ว่า แม้ว่าแลนด์บริดจ์มีแนวโน้มที่จะลดระยะเวลาการขนส่งลงได้เฉลี่ย 4 วันและลดค่าขนส่งได้ 15% แต่ก็ยังมีอุปสรรคหลายอย่างที่ต้องแก้ไข นั่นคือ ไทยต้องลงทุนในเทคโนโลยีการจัดการตารางเวลาที่ทันสมัย เพิ่มจำนวนบุคลากรประจำท่าเรือ และนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการจัดการสินค้า เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและลดความล่าช้า และถึงแม้จะแก้ไขแล้ว กระบวนการขนถ่ายและบรรจุสินค้า ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความล่าช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดความแออัดที่ท่าเรือใดท่าเรือหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การที่ต้องมีเรือเปล่าขนาดเดียวกันจอดรอรับสินค้าอยู่ที่ท่าเรืออีกฝั่งหนึ่งก็เป็นความท้าทายที่สำคัญ 

มาร์กบอกว่า เมื่อคำนึงถึงเวลาในการขนส่ง กระบวนการขนถ่ายหลายขั้นตอน และการบรรจุสินค้าขึ้นเรืออีกลำ ก็อาจไม่ได้ช่วยให้ประหยัดเวลาอย่างที่คาด อีกทั้งยังมีต้นทุนและความเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น สินค้าสูญหาย และค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้โครงการแลนด์บริดจ์น่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับเส้นทางช่องแคบมะละกาที่มีความเสถียรแล้ว 

นอกจากความกังวลด้านโลจิสติกส์แล้ว มาร์กมองว่า การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการแลนด์บริดจ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ การที่มีประชาชนและองค์กรต่างๆ คัดค้านมาอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอย่างโปร่งใส 

อ้างอิง : MCOT, พรรคภูมิใจไทย, แลนด์บริดจ์, Policy Watch [1], Policy Watch [2], โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของประเทศไทย, ISEAS 

แชร์
โอกาส ความเสี่ยง ความเป็นไปได้ แลนด์บริดจ์ล้านล้านที่รัฐบาลดันสุดใจ