โครงการ “คนละครึ่ง” กำลังถูกพูดถึงอีกครั้งภายใต้รัฐบาลใหม่ของนายกฯ อนุทิน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซา ภาคเอกชนและประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน เพราะเคยพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดค่าครองชีพ กระตุ้นการใช้จ่าย ฟื้นร้านอาหารรายย่อย และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แม้มีข้อจำกัด แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าหากกลับมา จะเป็น Quick Win ที่ช่วยเติมพลังให้เศรษฐกิจฐานรากทันที
ท่ามกลางกระแสความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ชื่อของ “คนละครึ่ง” ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้งในฐานะ “ยาแรง” ที่อาจถูกนำกลับมาใช้เป็นนโยบายเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น การกลับมาของโครงการที่เคยสร้างปรากฏการณ์และเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนและภาคเอกชน
ด้านคุณฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมภัตตาคารไทย เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 นายอนุทิน ชาญวีรกูล สนับสนุนโครงการ Co-payment หรือ คนละครึ่ง เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ประกอบการร้านอาหาร พบว่า ตั้งแต่เริ่มไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจร้านอาหารกว่า 7 แสนรายทั่วประเทศ ทั้งรายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยลดลง 25-50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ข้อมูลเชิงสถิติจากแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์หลัก แสดงการหดตัวอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญการขาดทุน จนถึงขั้นปิดกิจการจำนวนมาก ร้านที่เหลือรออยู่ ต้องลดจำนวนพนักงาน และลดชั่วโมงการทำงาน
ด้าน คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท LINE MAN Wongnai
โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คว่า "ในฐานที่เคยร่วมโครงการคนละครึ่งรอบที่แล้วมา ผมคิดว่าเป็นนโยบายที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เราพบว่ายอดขายของร้านขนาดเล็กโตขึ้น 1.7-4 เท่าในช่วงนั้น และถ้าดูยอดขายจากเดลิเวอรีอย่างเดียวโตเฉลี่ย 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโครงการ
เท่าที่อ่านดูจากความเห็นในโซเชียลก็พบว่าประชาชนอยากให้นำโครงการนี้กลับมาจริงๆ แบบแทบจะเป็นเอกฉันท์ เพราะช่วยแก้ปัญหาค่าครองชีพได้จริง
ส่วนตัวชอบโครงการลักษณะ co-payment ลักษณะนี้ เพราะคิดว่า
1. เหมาะกับ SME ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่กำลังพอช่วยตัวเองได้บ้าง แต่มี แรงหนุน เข้ามาช่วยจะทำให้ทุกคนคล่องตัวขึ้นได้ และมีกำลังใจในการทำให้ดีขึ้นในระยะยาว
2. ป้องกัน fraud ได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะมีลักษณะ co-pay คือลูกค้าต้องออกด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งการจ่ายไปยังร้านค้าที่ต้องลงทะเบียนจริง
3. สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจในระยะยาวกว่า เนื่องจากมีการจำกัดวงเงินรายวัน (ครั้งที่แล้ว 150 บาท) ดีกว่าเงินให้เปล่าที่อาจจะเกิดการใช้จ่าย (นอกระบบ) ครั้งเดียว วันเดียวจบ
“ผมคิดว่าหากรัฐบาลมีอายุสั้นเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา การนำระบบไอทีเดิมที่เคยมีอยู่แล้วกลับมาใช้งาน ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในแง่ระยะเวลาการทำงาน ส่วนการยืนยันตัวตนร้านค้าที่อาจเปลี่ยนหน้าไปบ้างในช่วง 3-4 ปีที่ไม่มีโครงการคนละครึ่ง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีช่วยได้
หากรัฐบาลจะทำโครงการนี้จริงๆ LINE MAN Wongnai มีข้อมูลร้านอาหารที่อัพเดตเป็นปัจจุบันอยู่แล้ว ก็ยินดียกข้อมูลนี้ให้ทั้งหมด เพื่อที่ร้านค้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนยันตัวตนใหม่ครับ”
นโยบาย คนละครึ่ง ถูกมองว่าเป็น “Quick Win” ที่ไม่ต้องรอการพิสูจน์ เพราะบทเรียนความสำเร็จจาก 5 ระยะที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
โครงการคนละครึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 2563 ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการเยียวยา แต่เป็นนวัตกรรมทางการคลังที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ตลอดการดำเนินงานทั้ง 5 ระยะ โครงการได้สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมหาศาล โดยข้อมูลจาก 4 ระยะแรกรวมกันก่อให้เกิดยอดใช้จ่ายสูงถึง 3.87 แสนล้านบาท
หัวใจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้แตกต่างและทรงประสิทธิภาพคือกลไก “ร่วมจ่าย” (Co-payment) ที่รัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% (สูงสุดไม่เกิน 150 บาทต่อวัน) กลไกนี้ไม่ได้เป็นเพียงการให้เงินช่วยเหลือ แต่เป็นการ “ดึง” เงินในกระเป๋าของประชาชนออกมาใช้จ่ายจริง ซึ่งสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ในทางเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประเมินว่าโครงการนี้มีตัวทวีคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) สูงถึง 1.85 เท่า หมายความว่าทุก 1 บาทที่รัฐใส่ลงไป สามารถสร้างเงินหมุนเวียนในระบบได้ถึง 1.85 บาท
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตั้งแต่ร้านอาหาร หาบเร่แผงลอย ไปจนถึงร้านค้าทั่วไป ซึ่งเป็นเส้นเลือดฝอยของเศรษฐกิจไทย ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยืนยันความสำเร็จนี้ โดยชี้ว่าโครงการคนละครึ่งในระยะที่ 1-3 สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ GDP ได้ราว 8.95 หมื่นล้านบาท และที่สำคัญคือสามารถกระจายรายได้ไปยังจังหวัดต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงกว่าสภาวะเศรษฐกิจปกติอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า
ระบุว่าโครงการคนละครึ่งในระยะที่ 1–3 มีมูลค่าการใช้จ่ายรวมกว่า 330,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลร่วมสมทบประมาณ 160,000 ล้านบาท คิดเป็นราว 1% ของ GDP ในช่วงนั้น ขณะที่การประเมินผลทางเศรษฐกิจพบว่า มาตรการนี้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มราว 89,500 ล้านบาท โดยเฉพาะในภาคการค้า ร้านอาหาร การเกษตร และบริการต่าง ๆ
สำหรับระยะที่ 2 เพียงอย่างเดียว รัฐใช้งบสนับสนุน 22,500 ล้านบาท และประเมินว่าจะช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้น 0.1% ของ GDP ปี 2564 แสดงให้เห็นถึงพลังของมาตรการในการสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ทั่วประเทศ
สิ่งที่น่าสนใจคือ สศค. ได้ใช้ Atkinson Index เพื่อวัดผลด้านการกระจายรายได้ พบว่าค่าดัชนีอยู่ที่ 0.326 ต่ำกว่าค่าปกติของ GDP ที่ 0.583 สะท้อนว่าโครงการนี้ช่วยทำให้การใช้จ่ายกระจายตัวสู่กลุ่มประชาชนได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
ผลการวิเคราะห์ยังชี้ว่า รายได้จากร้านค้ากระจายไปยัง 35 จังหวัด เพื่อให้ได้มูลค่า 51% ของรายได้รวมจากโครงการ มากกว่าการกระจุกตัวในเพียงไม่กี่หัวเมืองใหญ่ที่มักเกิดขึ้นกับการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจปกติ
ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี สะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าโครงการช่วย แบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และ สร้างสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย และตลาดชุมชน ขณะเดียวกันยังช่วยผลักดันให้ประชาชนเรียนรู้การใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัล และก้าวสู่สังคมไร้เงินสด
ในมุมของผู้ประกอบการรายย่อย การเข้าร่วมโครงการทำให้เกิดการหมุนเวียนรายได้ที่มั่นคงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจหยุดชะงัก และยังช่วยให้ร้านค้าเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ไม่เคยจับจ่ายในพื้นที่มาก่อน
แม้จะมีข้อดีหลายประการ แต่โครงการคนละครึ่งยังมีข้อจำกัดสำคัญ เช่น การเข้าถึงของผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ ขณะเดียวกันการใช้จ่ายก็ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นบางประเภท เช่น ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าน้ำมัน รวมถึงไม่ครอบคลุมประชาชนอายุต่ำกว่า 18 ปี
ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้ผลลัพธ์ของโครงการยังไม่สามารถครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม และสะท้อนถึงความท้าทายในการออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจและสังคมพร้อมกัน
การที่พรรคภูมิใจไทยส่งสัญญาณเตรียมฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้ง จึงเป็นการจุดประกายความหวังให้กับทั้งประชาชนที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพและผู้ประกอบการที่ต้องการกำลังซื้อ เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนและร้านค้าที่อยากให้มีโครงการนี้ต่อไปยังคงดังต่อเนื่อง เพราะเป็นนโยบายที่เข้าใจง่าย เข้าถึงคนส่วนใหญ่ และเห็นผลทันที
อย่างไรก็ตาม การจะนำ “คนละครึ่ง” กลับมาในบริบทเศรษฐกิจปัจจุบัน ย่อมมีโจทย์ท้าทายที่รัฐบาลใหม่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ:
การกลับมาของ “คนละครึ่ง” ในยุค “นายกฯหนู” จึงเป็นมากกว่าแค่การนำนโยบายเก่ามาเล่าใหม่ แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถในการถอดบทเรียนจากอดีตที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้จริงในระยะสั้น ทั้งในแง่การเพิ่มการใช้จ่ายและการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น เพื่อสร้างเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทรงพลังและครอบคลุมกว่าเดิม หากทำได้สำเร็จ นี่จะเป็นการ “เติมออกซิเจน” ให้กับเศรษฐกิจฐานราก และตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่สามารถส่งมอบนโยบายที่ตอบโจทย์ปากท้องของประชาชนได้