Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
“คนละครึ่ง" เวอร์ชันนายกฯหนู เติมออกซิเจนเศรษฐกิจไทย
โดย : พลวัฒน์ รินทะมาตย์

“คนละครึ่ง" เวอร์ชันนายกฯหนู เติมออกซิเจนเศรษฐกิจไทย

7 ก.ย. 68
09:49 น.
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

โครงการ “คนละครึ่ง” กำลังถูกพูดถึงอีกครั้งภายใต้รัฐบาลใหม่ของนายกฯ อนุทิน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซา ภาคเอกชนและประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน เพราะเคยพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดค่าครองชีพ กระตุ้นการใช้จ่าย ฟื้นร้านอาหารรายย่อย และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แม้มีข้อจำกัด แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าหากกลับมา จะเป็น Quick Win ที่ช่วยเติมพลังให้เศรษฐกิจฐานรากทันที

ท่ามกลางกระแสความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ชื่อของ “คนละครึ่ง” ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้งในฐานะ “ยาแรง” ที่อาจถูกนำกลับมาใช้เป็นนโยบายเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น การกลับมาของโครงการที่เคยสร้างปรากฏการณ์และเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนและภาคเอกชน 

ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย
ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย

ด้านคุณฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมภัตตาคารไทย เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 นายอนุทิน ชาญวีรกูล สนับสนุนโครงการ Co-payment หรือ คนละครึ่ง เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ประกอบการร้านอาหาร พบว่า ตั้งแต่เริ่มไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจร้านอาหารกว่า 7 แสนรายทั่วประเทศ ทั้งรายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยลดลง 25-50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ข้อมูลเชิงสถิติจากแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์หลัก แสดงการหดตัวอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญการขาดทุน จนถึงขั้นปิดกิจการจำนวนมาก ร้านที่เหลือรออยู่ ต้องลดจำนวนพนักงาน และลดชั่วโมงการทำงาน

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท LINE MAN Wongnai 
ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท LINE MAN Wongnai 

ด้าน คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท LINE MAN Wongnai 

โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คว่า "ในฐานที่เคยร่วมโครงการคนละครึ่งรอบที่แล้วมา ผมคิดว่าเป็นนโยบายที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เราพบว่ายอดขายของร้านขนาดเล็กโตขึ้น 1.7-4 เท่าในช่วงนั้น และถ้าดูยอดขายจากเดลิเวอรีอย่างเดียวโตเฉลี่ย 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโครงการ

เท่าที่อ่านดูจากความเห็นในโซเชียลก็พบว่าประชาชนอยากให้นำโครงการนี้กลับมาจริงๆ แบบแทบจะเป็นเอกฉันท์ เพราะช่วยแก้ปัญหาค่าครองชีพได้จริง

ส่วนตัวชอบโครงการลักษณะ co-payment ลักษณะนี้ เพราะคิดว่า

1. เหมาะกับ SME ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่กำลังพอช่วยตัวเองได้บ้าง แต่มี แรงหนุน เข้ามาช่วยจะทำให้ทุกคนคล่องตัวขึ้นได้ และมีกำลังใจในการทำให้ดีขึ้นในระยะยาว

2. ป้องกัน fraud ได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะมีลักษณะ co-pay คือลูกค้าต้องออกด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งการจ่ายไปยังร้านค้าที่ต้องลงทะเบียนจริง

3. สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจในระยะยาวกว่า เนื่องจากมีการจำกัดวงเงินรายวัน (ครั้งที่แล้ว 150 บาท) ดีกว่าเงินให้เปล่าที่อาจจะเกิดการใช้จ่าย (นอกระบบ) ครั้งเดียว วันเดียวจบ

“ผมคิดว่าหากรัฐบาลมีอายุสั้นเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา การนำระบบไอทีเดิมที่เคยมีอยู่แล้วกลับมาใช้งาน ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในแง่ระยะเวลาการทำงาน ส่วนการยืนยันตัวตนร้านค้าที่อาจเปลี่ยนหน้าไปบ้างในช่วง 3-4 ปีที่ไม่มีโครงการคนละครึ่ง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีช่วยได้

หากรัฐบาลจะทำโครงการนี้จริงๆ LINE MAN Wongnai มีข้อมูลร้านอาหารที่อัพเดตเป็นปัจจุบันอยู่แล้ว ก็ยินดียกข้อมูลนี้ให้ทั้งหมด เพื่อที่ร้านค้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนยันตัวตนใหม่ครับ”

นโยบาย คนละครึ่ง ถูกมองว่าเป็น “Quick Win” ที่ไม่ต้องรอการพิสูจน์ เพราะบทเรียนความสำเร็จจาก 5 ระยะที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด  

ทำไม “คนละครึ่ง” ถึงเป็นที่จดจำ?

โครงการคนละครึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 2563 ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการเยียวยา แต่เป็นนวัตกรรมทางการคลังที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ตลอดการดำเนินงานทั้ง 5 ระยะ โครงการได้สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมหาศาล โดยข้อมูลจาก 4 ระยะแรกรวมกันก่อให้เกิดยอดใช้จ่ายสูงถึง 3.87 แสนล้านบาท  

หัวใจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้แตกต่างและทรงประสิทธิภาพคือกลไก “ร่วมจ่าย” (Co-payment) ที่รัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% (สูงสุดไม่เกิน 150 บาทต่อวัน) กลไกนี้ไม่ได้เป็นเพียงการให้เงินช่วยเหลือ แต่เป็นการ “ดึง” เงินในกระเป๋าของประชาชนออกมาใช้จ่ายจริง ซึ่งสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ในทางเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประเมินว่าโครงการนี้มีตัวทวีคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) สูงถึง 1.85 เท่า หมายความว่าทุก 1 บาทที่รัฐใส่ลงไป สามารถสร้างเงินหมุนเวียนในระบบได้ถึง 1.85 บาท  

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตั้งแต่ร้านอาหาร หาบเร่แผงลอย ไปจนถึงร้านค้าทั่วไป ซึ่งเป็นเส้นเลือดฝอยของเศรษฐกิจไทย ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยืนยันความสำเร็จนี้ โดยชี้ว่าโครงการคนละครึ่งในระยะที่ 1-3 สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ GDP ได้ราว 8.95 หมื่นล้านบาท และที่สำคัญคือสามารถกระจายรายได้ไปยังจังหวัดต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงกว่าสภาวะเศรษฐกิจปกติอย่างมีนัยสำคัญ  

ข้อมูลจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า โครงการคนละครึ่งในระยะที่ 1–3 มีมูลค่าการใช้จ่ายรวมกว่า 330,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลร่วมสมทบประมาณ 160,000 ล้านบาท คิดเป็นราว 1% ของ GDP ในช่วงนั้น ขณะที่การประเมินผลทางเศรษฐกิจพบว่า มาตรการนี้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มราว 89,500 ล้านบาท โดยเฉพาะในภาคการค้า ร้านอาหาร การเกษตร และบริการต่าง ๆ

สำหรับระยะที่ 2 เพียงอย่างเดียว รัฐใช้งบสนับสนุน 22,500 ล้านบาท และประเมินว่าจะช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้น 0.1% ของ GDP ปี 2564 แสดงให้เห็นถึงพลังของมาตรการในการสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในระยะสั้น

ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ทั่วประเทศ

สิ่งที่น่าสนใจคือ สศค. ได้ใช้ Atkinson Index เพื่อวัดผลด้านการกระจายรายได้ พบว่าค่าดัชนีอยู่ที่ 0.326 ต่ำกว่าค่าปกติของ GDP ที่ 0.583 สะท้อนว่าโครงการนี้ช่วยทำให้การใช้จ่ายกระจายตัวสู่กลุ่มประชาชนได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น

ผลการวิเคราะห์ยังชี้ว่า รายได้จากร้านค้ากระจายไปยัง 35 จังหวัด เพื่อให้ได้มูลค่า 51% ของรายได้รวมจากโครงการ มากกว่าการกระจุกตัวในเพียงไม่กี่หัวเมืองใหญ่ที่มักเกิดขึ้นกับการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจปกติ

ผลลัพธ์ต่อผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชน

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี สะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าโครงการช่วย แบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และ สร้างสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย และตลาดชุมชน ขณะเดียวกันยังช่วยผลักดันให้ประชาชนเรียนรู้การใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัล และก้าวสู่สังคมไร้เงินสด

ในมุมของผู้ประกอบการรายย่อย การเข้าร่วมโครงการทำให้เกิดการหมุนเวียนรายได้ที่มั่นคงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจหยุดชะงัก และยังช่วยให้ร้านค้าเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ไม่เคยจับจ่ายในพื้นที่มาก่อน

ข้อจำกัด

แม้จะมีข้อดีหลายประการ แต่โครงการคนละครึ่งยังมีข้อจำกัดสำคัญ เช่น การเข้าถึงของผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ ขณะเดียวกันการใช้จ่ายก็ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นบางประเภท เช่น ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าน้ำมัน รวมถึงไม่ครอบคลุมประชาชนอายุต่ำกว่า 18 ปี

ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้ผลลัพธ์ของโครงการยังไม่สามารถครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม และสะท้อนถึงความท้าทายในการออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจและสังคมพร้อมกัน

“คนละครึ่ง” เวอร์ชันใหม่ของนายกฯหนู

การที่พรรคภูมิใจไทยส่งสัญญาณเตรียมฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้ง จึงเป็นการจุดประกายความหวังให้กับทั้งประชาชนที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพและผู้ประกอบการที่ต้องการกำลังซื้อ เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนและร้านค้าที่อยากให้มีโครงการนี้ต่อไปยังคงดังต่อเนื่อง เพราะเป็นนโยบายที่เข้าใจง่าย เข้าถึงคนส่วนใหญ่ และเห็นผลทันที  

อย่างไรก็ตาม การจะนำ “คนละครึ่ง” กลับมาในบริบทเศรษฐกิจปัจจุบัน ย่อมมีโจทย์ท้าทายที่รัฐบาลใหม่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ:

  1. ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide): บทเรียนสำคัญจากครั้งก่อนคือ การพึ่งพาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเป็นหลักได้กีดกันประชากรกลุ่มที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย การออกแบบโครงการครั้งใหม่จึงจำเป็นต้องหาทางอุดช่องโหว่นี้ เพื่อให้แน่ใจว่าความช่วยเหลือจะกระจายไปถึงกลุ่มที่เปราะบางที่สุดอย่างแท้จริง  
  2. ข้อจำกัดของผู้ประกอบการรายย่อย: แม้โครงการจะช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ก็มีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เนื่องจากต้องพึ่งพากระแสเงินสดหมุนเวียนรายวัน และไม่สามารถรอรับเงินโอนจากระบบในวันถัดไปได้  
  3. ความยั่งยืนทางการคลัง: แม้จะเป็นมาตรการที่คุ้มค่า แต่ก็ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากซึ่งมาจากเงินกู้ รัฐบาลจำเป็นต้องสื่อสารอย่างชัดเจนถึงกรอบเวลาและเป้าหมายของโครงการ เพื่อให้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่มาตรการอุดหนุนถาวรที่สร้างภาระทางการคลังในระยะยาว  

การกลับมาของ “คนละครึ่ง” ในยุค “นายกฯหนู” จึงเป็นมากกว่าแค่การนำนโยบายเก่ามาเล่าใหม่ แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถในการถอดบทเรียนจากอดีตที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้จริงในระยะสั้น ทั้งในแง่การเพิ่มการใช้จ่ายและการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น เพื่อสร้างเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทรงพลังและครอบคลุมกว่าเดิม หากทำได้สำเร็จ นี่จะเป็นการ “เติมออกซิเจน” ให้กับเศรษฐกิจฐานราก และตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่สามารถส่งมอบนโยบายที่ตอบโจทย์ปากท้องของประชาชนได้

ล่าสุด (8 กันยายน 2568) กระทรวงการคลังพร้อมเปิดตัว "คนละครึ่งเฟสใหม่" อีกครั้ง

รอเพียง ครม.อนุมัติงบ - คาดเริ่มโครงการได้ภายในเดือนตุลาคมนี้

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการเดินหน้าโครงการคนละครึ่งเฟสใหม่ หากรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายที่ชัดเจนกระทรวงการคลังยืนยันความพร้อมในการดำเนินโครงการ "คนละครึ่ง" เฟสใหม่ได้ทันที หลังจากที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยมีแนวคิดนำโครงการดังกล่าวกลับมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยหากได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มโครงการได้ภายในเดือนตุลาคม 2568

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า การนำโครงการคนละครึ่งกลับมาจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในหลายด้าน ทั้งการลดภาระค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อ และช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้าต่างๆ

สำหรับความพร้อมในการดำเนินงาน รัฐบาลมีสิ่งที่จำเป็นครบถ้วนแล้ว ได้แก่:

งบประมาณ: มีการจัดสรรงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้สำหรับโครงการนี้หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบอื่นได้

ระบบเทคโนโลยี: เนื่องจากเคยดำเนินโครงการคนละครึ่งมาแล้ว 5 รอบผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" และ "ถุงเงิน" จึงสามารถเปิดให้ลงทะเบียนและทำธุรกรรมได้ทันทีโดยไม่มีปัญหา

แม้ว่าในอดีตจะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการมากกว่า 1 ล้านร้าน แต่ในช่วงที่โครงการหยุดไป อาจมีร้านบางส่วนถอนตัวออกจากระบบ กระทรวงการคลังจึงวางแผนให้ร้านค้าที่ยังอยู่ในระบบสามารถรับเงินไปก่อนได้ พร้อมทั้งเปิดรับสมัครร้านค้าใหม่ควบคู่กันไป เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและครอบคลุม

หากนโยบายมีความชัดเจน คาดว่าจะใช้เวลาเตรียมการไม่เกิน 30-45 วัน ก่อนที่จะเริ่มโครงการได้ในช่วงเดือนตุลาคมนี้


แชร์
“คนละครึ่ง" เวอร์ชันนายกฯหนู เติมออกซิเจนเศรษฐกิจไทย