Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
'เผ่าภูมิ'ยันรัฐบาลอยู่ครบเทอม คาดGDPปี68อยู่ที่2.2% ชี้อาจปรับขึ้นอีก
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

'เผ่าภูมิ'ยันรัฐบาลอยู่ครบเทอม คาดGDPปี68อยู่ที่2.2% ชี้อาจปรับขึ้นอีก

27 ส.ค. 68
17:50 น.
แชร์

ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะอยู่ครบวาระ แม้เผชิญแรงกดดันทางการเมืองและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งที่แข็งแกร่ง หลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 2.2% จากระดับที่เคยประเมินต่ำกว่า และมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นอีกในการประเมินรอบถัดไป จากตัวเลขจริงครึ่งปีแรกที่ออกมาดีกว่าคาด

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ก้าวข้ามความท้าทาย สู่โอกาสการลงทุนใหม่ จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 โดยนายเผ่าภูมิระบุว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีขยายตัวเฉลี่ยราว 3% และคาดว่าครึ่งปีหลังแม้จะต่ำกว่า แต่ค่าเฉลี่ยทั้งปีจะยังอยู่เหนือระดับ 2.2% อีกทั้งมาตรการการคลังขนาดใหญ่ 1.57 แสนล้านบาท ที่อนุมัติแล้วและเบิกจ่ายไปกว่า 1.3 แสนล้านบาท กำลังทยอยส่งผลชัดเจนในไตรมาส 4 ปีนี้และต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีหน้า ซึ่งจะช่วยเร่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น

ดร. เผ่าภูมิ ยังย้ำว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมา “ดีกว่าที่คาด” ไม่เพียงสะท้อนการฟื้นตัวของการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และห่วงโซ่อุปทานทางเลือก แต่ยังรวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่กลับสู่ภาวะปกติ ค่าใช้จ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มพรีเมียม เช่น เวลเนส การแพทย์ กีฬา และไมซ์ กำลังเติบโตต่อเนื่อง และการผ่อนคลายนโยบายการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่เริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ก็เป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการบริโภคและการลงทุน

คลังคาด GDP ปี 2568 โต 2.2% มีโอกาสปรับขึ้น

ดร. เผ่าภูมิ ระบุว่า การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ที่ 2.2% ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มจากรอบแรกที่หลายสำนักเคยประเมินต่ำกว่าในช่วงต้นปี เนื่องจากขณะนั้นยังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์การเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจจริงที่ออกมาในครึ่งปีแรกกลับดีกว่าที่คาด โดย GDP ขยายตัวเฉลี่ยถึง 3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ ถือเป็นสัญญาณว่าพื้นฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแรงมากขึ้น

ดร. เผ่าภูมิ กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเกินคาดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 ได้แก่ การส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และห่วงโซ่อุปทานทางเลือกที่ช่วยกระจายตลาดออกไปหลากหลายขึ้น รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์จากโครงการประตูการค้าและระเบียงเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียมอย่างเวลเนส ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ กีฬา และ MICE ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และสร้างรายได้ให้กับภาคบริการในหลายภูมิภาค

ดร. เผ่าภูมิ อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจอาจขยายตัวชะลอลงและไม่ถึงระดับ 3% แต่เมื่อเฉลี่ยทั้งปีแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราการเติบโตจะเกินกว่า 2.2% ซึ่งเป็นระดับที่สศค.ตั้งไว้ในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะมีการปรับประมาณการขึ้นอีกในรอบถัดไป โดยมีทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและสัญญาณบวกจากการค้าโลกเป็นแรงหนุนสำคัญ

สำหรับแรงสนับสนุนด้านการค้า ดร. เผ่าภูมิ อธิบายว่า มาตรการ reciprocal tariff ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งในตอนแรกถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงและทำให้หลายสำนักปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทย กลับกลายเป็นผลบวกต่อไทยเมื่อผลการเจรจาภาษีออกมาจริง เหตุผลคือไทยมีสัดส่วนการผลิตในประเทศ (local content) ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลัก สินค้าไทยส่วนใหญ่จึงถูกเก็บภาษีในอัตราต่ำเฉลี่ยเพียง 19% ขณะที่สินค้าที่ถูกจัดเก็บในอัตราสูงถึง 40% มีเพียงส่วนน้อย 

ปัจจัยนี้ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยยังคงได้เปรียบเหนือคู่แข่งสำคัญในภูมิภาคด้านราคา และสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ แม้เงื่อนไขทางการค้าจะไม่เอื้อเต็มที่ก็ตาม

นอกจากนี้ ความร่วมมือในข้อตกลงระหว่างไทยและสหรัฐฯ ยังมีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และช่วยสร้างความมั่นคงต่อการตัดสินใจลงทุนในห่วงโซ่อุปทาน โดยไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์การเปิดตลาดอย่างเป็นขั้นตอน ได้แก่ หากเป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิต ก็จะเปิดให้นำเข้าเพื่อเพิ่มทางเลือกและกระตุ้นการแข่งขัน หากเป็นสินค้าที่ผลิตได้ไม่เพียงพอ จะใช้ระบบโควตา โดยให้ซื้อจากผู้ผลิตในประเทศก่อน จากนั้นจึงนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และสุดท้ายจากสหรัฐฯ ส่วนสินค้าที่ไทยผลิตได้เพียงพออยู่แล้วจะถูกจำกัดการนำเข้า เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวลาในการปรับตัวและยกระดับมาตรฐาน

ขณะเดียวกัน ไทยยังผลักดันการลงทุนแบบสองทาง โดยสนับสนุนให้บริษัทไทยขยายการลงทุนไปยังสหรัฐฯ ในสาขาเกษตรแปรรูปและพลังงาน ทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอุปทานและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว อีกทั้งยังเข้มงวดต่อกฎแหล่งกำเนิดสินค้าและเพิ่มมาตรการตรวจสอบอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการถ่ายโอนสินค้าที่อาจบิดเบือนเงื่อนไขทางการค้าและทำลายความเป็นธรรมในตลาด

ในด้านการเงิน ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามภารกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย ดร. เผ่าภูมิ มองว่ายังมี “สเปซ” พอสมควรในการปรับลดเพิ่มเติมหากจำเป็น แต่เน้นย้ำว่าเป็นเรื่องที่ควรปล่อยให้ กนง. พิจารณาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะภายใต้การนำของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ที่มีศักยภาพสูง

ด้านการคลัง รัฐบาลได้ใส่เม็ดเงินเข้าสู่ระบบรวม 1.57 แสนล้านบาท และเบิกจ่ายแล้วกว่า 1.3 แสนล้านบาท หรือกว่า 80% ของวงเงินทั้งหมด ถือเป็นมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ที่เริ่มเห็นผลจริง ทั้งต่อการใช้จ่ายของครัวเรือน การลงทุนภาครัฐ การจ้างงาน และการหมุนเวียนสภาพคล่อง ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในไตรมาส 4 ปีนี้ และต่อเนื่องไปยังไตรมาสแรกปีหน้า กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยยืนอยู่บนฐานที่มั่นคงมากขึ้น

สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี ดร. เผ่าภูมิกล่าวว่า กระทรวงการคลังจะยังคงติดตามผลจากมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว โดยมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่มีความเสี่ยง แม้ครึ่งปีหลังจะเติบโตต่ำกว่าครึ่งปีแรก แต่ค่าเฉลี่ยทั้งปีก็ยังเกินกว่า 2.2% แน่นอน และมีโอกาสสูงที่จะปรับประมาณการขึ้นอีก ส่วนคำถามว่าปลายปีจะมีมาตรการใหม่หรือไม่ ดร. เผ่าภูมิ ระบุว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แม้มีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นเร่งด่วน เพราะมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ที่ดำเนินการไปแล้วกำลังส่งผลจริง และจะยังช่วยหนุนเศรษฐกิจต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

หนี้สาธารณะ-เครดิตเรตติ้งยังแข็งแรง

สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของไทย ดร.เผ่าภูมิย้ำว่า ฐานะการเงินของไทยยังอยู่ในเกณฑ์แข็งแรง ฐานะการคลังถือว่าปลอดภัย โดยตัวชี้วัดสำคัญคือหนี้สาธารณะต่อ GDP ล่าสุดอยู่ที่ราว 64% ซึ่งเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบเกือบ 10 เดือน แสดงให้เห็นว่าหนี้สาธารณะเติบโตช้ากว่าเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน สะท้อนถึงการมีพื้นที่ทางการคลัง (fiscal space) ที่ยังคงเหลือและสามารถขยับขยายได้หากจำเป็น ขณะเดียวกัน พื้นที่เชิงนโยบายการเงิน (monetary policy space) ก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวล

ในส่วนของภาระดอกเบี้ยต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล ปัจจุบันอยู่ที่ราว 9% กว่า ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 10% ที่ใช้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลักสำหรับการประเมินเครดิตเรตติ้ง แม้มีแนวโน้มว่าอัตราส่วนนี้อาจขยับสูงขึ้นในปีหน้า จากต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่หากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่อเนื่อง รายได้ภาษีที่สะท้อนจากการเติบโตของ GDP จะช่วยรักษาสัดส่วนดังกล่าวให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังโดยรวม และยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการก่อหนี้หรืองบประมาณในอนาคต

ดร.เผ่าภูมิยังเน้นว่า การประเมินเครดิตเรตติ้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงอัตราส่วนหนี้สาธารณะหรือภาระดอกเบี้ยเทียบรายได้ แต่ต้องพิจารณาหลายมิติประกอบกัน ทั้งความสามารถในการชำระหนี้ ศักยภาพการเติบโตของประเทศ โครงการโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนที่กำลังดำเนินการอยู่ รวมถึงความต่อเนื่องและความชัดเจนของนโยบายการคลังและการเงิน ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น 

ดังนั้น แม้บางตัวเลขจะมีแนวโน้มขยับสูงขึ้น แต่หากศักยภาพโดยรวมของประเทศยังแข็งแรง ก็ไม่กระทบต่อเครดิตเรตติ้งในภาพรวม ทำให้ไทยยังคงรักษาระดับ Investment Grade ที่เป็นที่ยอมรับของนักลงทุนได้อย่างมั่นใจ

การลงทุน-ตลาดทุนไทยเดินหน้าปฏิรูป

สำหรับภาวะการลงทุนในไทยในช่วงที่ผ่านมา ดร. เผ่าภูมิกล่าวว่า ความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่น มูลค่าการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 1.05 ล้านล้านบาท ครอบคลุมมากกว่า 2,000 โครงการ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

สัญญาณนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เห็นศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางด้านการผลิตและบริการระดับภูมิภาค โดยการลงทุนเหล่านี้มีองค์ประกอบสำคัญจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มาจากสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น แสดงถึงแหล่งทุนที่หลากหลายและการบูรณาการของไทยที่ลึกยิ่งขึ้นกับห่วงโซ่มูลค่าโลก

ดร. เผ่าภูมิ กล่าวว่า การอนุมัติเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่จะเปลี่ยนเป็นการจ้างงานใหม่ เพิ่มการใช้เนื้อหาในประเทศ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และยกระดับศักยภาพการส่งออก โดยเฉพาะการลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลและเซมิคอนดักเตอร์ที่จะช่วยขยายขีดความสามารถดิจิทัลของไทย และสนับสนุนอุตสาหกรรม AI คลาวด์ และ Internet of Things การสนับสนุนทางการเงินที่ตรงเป้ากำลังถูกรวมระดม เพื่อให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมสามารถเร่งดำเนินโครงการสู่การผลิตจริงได้อย่างรวดเร็วและมีขนาด

สำหรับทิศทางในอนาคต ดร. เผ่าภูมิย้ำว่ารัฐบาลมีเป้าหมายทำให้สภาพแวดล้อมการลงทุนในไทยน่าสนใจยิ่งขึ้น ผ่านการปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้าน ease of doing business ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การเพิ่มสิทธิประโยชน์ทั้งในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี และการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ Financial Hub เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อปูทางสู่การพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่เชื่อมโยงทั้งภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก

ในด้านตลาดทุน ดร. เผ่าภูมิอธิบายว่า การปฏิรูปตลาดทุนไทยดำเนินไปบน 4 เสาหลัก ได้แก่ อุปสงค์ อุปทาน กฎเกณฑ์ และเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่แข็งแรง โปร่งใส ยุติธรรม เชื่อมต่อได้กับตลาดโลก และสร้างความเชื่อมั่นผ่านผลลัพธ์ที่จับต้องได้

อุปสงค์เริ่มจากการขยายการออมระยะยาว โดยกองทุนรวมถูกยกให้เป็นเครื่องมือหลักสำหรับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากเข้าถึงง่าย มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี และช่วยสร้างฐานผู้ลงทุนในประเทศอย่างมั่นคง รัฐบาลเปิดตัวหลายโครงการที่สนับสนุนการออมในรูปแบบกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุน Thai ESG ที่ออกแบบเพื่อการออมระยะยาวพร้อมสิทธิประโยชน์ภาษี ขณะที่กองทุน Thai ESGX ซึ่งเป็นกองทุน ESG พิเศษ กำหนดให้มีการถือครองขั้นต่ำ 5 ปี และลงทุนเฉพาะในตราสารไทยที่ได้รับอนุมัติ ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง สนับสนุนบริษัทชั้นนำด้านความยั่งยืน และขยายการมีส่วนร่วมของครัวเรือนในระบบตลาดทุนภายใต้การคุ้มครองนักลงทุนที่ชัดเจน

ด้านอุปทาน ตลาดทุนไทยได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกและความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล เช่น กองทุน ETF แบบผกผันและมีคันโยก ตลอดจนพันธบัตร ESG ในหลายรูปแบบ อาทิ พันธบัตรสีเขียว พันธบัตรเพื่อสังคม พันธบัตรยั่งยืน และพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีโครงการ JUMP Plus เพื่อสนับสนุนการระดมทุนของ SME และการจัดตั้ง Live Exchange เป็นอีกแพลตฟอร์มให้ SME และสตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงทุนและสร้างการเติบโต โดยมีเป้าหมายเข้าสู่การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลักในอนาคต

ในด้านกฎเกณฑ์ การปรับปรุงกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ถูกนำเสนอเพื่อรองรับบทบาทของเทคโนโลยีและการบูรณาการดิจิทัล โดยเน้นให้การออก การรับรอง การกำกับดูแล และการชำระราคาของหลักทรัพย์เกิดขึ้นในระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยในยุคดิจิทัล

ด้านเทคโนโลยี ตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมมือกับ Nasdaq เพื่อยกระดับระบบซื้อขายและระบบตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมขยายการตรวจสอบการซื้อขายความถี่สูง และเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรมชอร์ตเซลล์ นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว Tourist DigiPay ซึ่งเป็นระบบชำระเงินที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศไทย ผ่านผู้ให้บริการ eMoney ที่ได้รับอนุญาต เสริมสร้างรายได้ใหม่ให้ร้านค้าและธุรกิจท้องถิ่น ขณะเดียวกัน G Token ถูกพัฒนาเป็นโทเคนการลงทุนที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างเป็นทางการ ช่วยให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมแบบแยกย่อยในโครงการขนาดใหญ่ ลดต้นทุนการจัดจำหน่าย และเพิ่มการเข้าถึงทุนสำหรับโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน

ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ Thailand Financial Hub ที่จะสร้างกรอบกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อดึงดูดสถาบันการเงินระดับโลกเข้ามาจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการในกรุงเทพฯ พร้อมเสริมการเชื่อมโยงกองทุนข้ามพรมแดนและระบบการชำระเงินในอาเซียน เพื่อให้ไทยกลายเป็นประตูสำคัญของกระแสเงินทุนระดับภูมิภาค และสร้างระบบตลาดทุนที่ลึก โปร่งใส เร็ว และมีมาตรฐานความรับผิดชอบสูง รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบวาระ

ด้านการเมือง ดร.เผ่าภูมิกล่าวถึงประเด็นที่หลายฝ่ายกังวล โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่จะมีคดีการเมืองสำคัญสองคดี เขายืนยันว่ารัฐบาลมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถอยู่ครบวาระได้ และคดีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองหรือบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมีความมั่นใจในการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายตามวาระที่วางไว้ ทุกกระทรวงยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่ยังผลักดันนโยบายต่าง ๆ โดยไม่หยุดชะงัก เพื่อให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าสู่ “ปลายทาง” คือการอยู่ครบเทอมตามกำหนด

ดร.เผ่าภูมิ ย้ำว่า รัฐบาลไม่ขอคาดการณ์ต่อประเด็นทางยุติธรรม และจะมุ่งมั่นดำเนินแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 1.3 แสนล้านบาทที่อยู่ใน pipeline ต่อไป เพื่อสร้างเสถียรภาพ ความต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นต่อตลาดและนักลงทุนในระยะยาว


แชร์
'เผ่าภูมิ'ยันรัฐบาลอยู่ครบเทอม คาดGDPปี68อยู่ที่2.2% ชี้อาจปรับขึ้นอีก