Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ปิดช่องแคบฮอร์มุซเสียหายเท่าไหร่? ประเทศไหนเดือดร้อน? ไทยพร้อมแค่ไหน?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ปิดช่องแคบฮอร์มุซเสียหายเท่าไหร่? ประเทศไหนเดือดร้อน? ไทยพร้อมแค่ไหน?

23 มิ.ย. 68
15:38 น.
แชร์

ในเช้าวันที่ 22 มิถุนายน 2025 สหรัฐอเมริกาได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในเวทีภูมิรัฐศาสตร์และตลาดพลังงานโลก เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งเปิดฉากโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านสามแห่ง ได้แก่ Fordow, Natanz และ Isfahan โดยอ้างว่าเป็นการทำลายภัยคุกคามจาก "ประเทศผู้สนับสนุนการก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก" 

การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังเหตุการณ์ที่อิสราเอลโจมตีกรุงเตหะรานเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งได้ยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาคอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ทะยานขึ้นทันที สู่ระดับ 78.89 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนจุดยืนอย่างชัดเจนของทรัมป์ จากเดิมที่เคยปฏิเสธการแทรกแซงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง กลับกลายเป็นการเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ยังจุดชนวนความวิตกกังวลที่กำลังขยายตัว ว่าความขัดแย้งอาจยกระดับจนถึงขั้นที่อิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดของโลก ผลลัพธ์ของการปิดช่องแคบดังกล่าวจะส่งแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจที่ไกลเกินกว่าภูมิภาคตะวันออกกลาง และอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานพลังงานในระดับโลกอย่างรุนแรง

แม้ว่าในปัจจุบันรัฐสภาอิหร่านจะลงมติสนับสนุนแผนการปิดช่องแคบฮอร์มุซแล้ว แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของวิกฤตการณ์ที่โลกกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด

ความสำคัญของช่องแคบฮอร์มุซ: เส้นเลือดใหญ่ของพลังงานโลก

ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) คือหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่สำคัญที่สุดของโลก เส้นทางนี้ตั้งอยู่ระหว่างโอมานและอิหร่าน เชื่อมต่ออ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมานและทะเลอาหรับ ซึ่งที่จุดแคบที่สุดของช่องแคบ มีระยะทางเพียง 21 ไมล์ หรือราว 33 กิโลเมตรเท่านั้น นี่จึงกลายเป็น "จุดคอขวด" ที่เปราะบางที่สุดของระบบขนส่งพลังงานโลก

ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ชี้ว่า มากกว่า 20% ของน้ำมันที่บริโภคทั่วโลก หรือประมาณ 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงปี 2024 จนถึงต้นปี 2025 มีการคำนวณว่า กว่าหนึ่งในสี่ของการค้าน้ำมันทางเรือทั่วโลกเดินทางผ่านเส้นทางนี้ และในปริมาณดังกล่าว เกือบ 40% เป็นน้ำมันที่ส่งออกจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก

ไม่เพียงแต่น้ำมัน ช่องแคบฮอร์มุซยังเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของโลกด้วย โดยประมาณ 20% ของการค้าก๊าซ LNG ทั่วโลกในปี 2024 ต้องผ่านช่องแคบนี้ โดยเฉพาะสินค้าที่ส่งออกจากกาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แม้บางประเทศในภูมิภาคจะพยายามสร้างเส้นทางสำรอง เช่น ท่อส่งน้ำมันในซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ในความเป็นจริง เส้นทางเหล่านั้นยังมีขีดความสามารถจำกัด ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซได้ หากเกิดวิกฤติที่ทำให้เส้นทางหลักนี้ไม่สามารถใช้งานได้

จุดที่ทำให้ช่องแคบฮอร์มุซมีความเสี่ยงสูง คือการที่แต่ละประเทศรอบช่องแคบมีผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่ไม่เหมือนกัน อิหร่านควบคุมฝั่งเหนือของช่องแคบ ส่วนโอมานและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ดูแลฝั่งใต้ โครงสร้างเช่นนี้ทำให้ช่องแคบฮอร์มุซกลายเป็นพื้นที่ที่มักตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองและภัยคุกคามด้านความมั่นคง

ที่ผ่านมา อิหร่านเคยข่มขู่ที่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรหรือเพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่าน ช่องแคบแห่งนี้จึงเป็นมากกว่าทางผ่านของสินค้า แต่คือกลไกต่อรองสำคัญที่อิหร่านหยิบยกมาใช้ในเกมการเมืองระหว่างประเทศ

EIA ยังย้ำอีกว่า ช่องแคบฮอร์มุซเป็นหนึ่งใน "จุดคอขวด" ด้านพลังงานที่สำคัญที่สุดของโลก หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ช่องแคบนี้ถูกปิดกั้นหรือมีอุปสรรคในการขนส่ง ผลกระทบจะเกิดขึ้นทันทีในระบบพลังงานโลก ทั้งในรูปแบบของต้นทุนขนส่งที่พุ่งสูงขึ้นและความล่าช้าในการส่งมอบพลังงาน ซึ่งสุดท้ายอาจสะเทือนไปถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม

ถ้าช่องแคบฮอร์มุซปิดจริง ใครจะเจ็บสุด? เศรษฐกิจโลกจะสั่นสะเทือนแค่ไหน?

หากช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดของโลก ต้องหยุดชะงักหรือถูกปิดจริง ผลกระทบจะไม่ใช่แค่เรื่องราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเท่านั้น แต่จะลุกลามไปถึงเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง เพราะตลาดพลังงานโลกจะเผชิญภาวะปั่นป่วนในทันที ราคาน้ำมันและก๊าซจะพุ่งขึ้นรวดเร็ว ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานในหลายประเทศเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งจะลามไปถึงราคาสินค้าในชีวิตประจำวัน ต้นทุนขนส่ง การผลิต และอาจเร่งภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศให้รุนแรงยิ่งขึ้น

โดยจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ คือ

  • จีน: ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก พึ่งพาการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นสัดส่วนสูง โดยข้อมูลจากบริษัทติดตามเรือ Vortexa ระบุว่า เดือนที่ผ่านมา จีนมีการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านเฉลี่ย 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น หากอิหร่านผิดช่องแคบฮอร์มุซจริงอาจทำให้จีนซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของอิหร่านไม่พอใจอย่างรุนแรง ห
  • อินเดีย: ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ในเอเชียที่แทบไม่มีทางเลือกในการจัดหาน้ำมันจากเส้นทางอื่น
  • ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: ทั้งสองประเทศพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซ LNG ผ่านช่องแคบฮอร์มุซในปริมาณมหาศาล
  • สิงคโปร์และประเทศในอาเซียน: สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการกลั่นและการค้าพลังงานในภูมิภาคก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะความผันผวนของต้นทุนพลังงาน

สำหรับสหรัฐฯ ผลกระทบถือว่าน้อยกว่าประเทศในเอเชียอย่างมาก เพราะการนำเข้าน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซคิดเป็นเพียง 7% ของการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดของสหรัฐฯ และแค่ 2% ของการบริโภคน้ำมันภายในประเทศ เท่านั้น

สหรัฐฯ เตือน: ปิดช่องแคบฮอร์มุซคือ "การฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ"

จากผลกระทบที่จะมีต่อจีนนี้ สหรัฐฯ จึงประเมินว่า อิหร่านไม่น่าจะกล้าปิดช่องแคบฮอร์มุซ เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงโดยตรงต่อจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ใช้น้ำมันผ่านเส้นทางนี้มากที่สุด มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Face the Nation เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง จะถือเป็น "การฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ" ที่จะกระตุ้นให้ประเทศมหาอำนาจทั่วโลก โดยเฉพาะจีน ออกมาต่อต้านอย่างแข็งกร้าวทันที

"ถ้าอิหร่านทำเช่นนั้น คนกลุ่มแรกที่ควรจะโกรธที่สุดคือรัฐบาลจีน เพราะน้ำมันจำนวนมากของจีนขนส่งผ่านช่องแคบนี้" รูบิโอกล่าว พร้อมเตือนว่า อิหร่านอาจใช้ยุทธวิธีวางทุ่นระเบิดเพื่อสกัดเส้นทางเดินเรือ ซึ่งจะสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯ และจีน

รูบิโอเน้นว่า "ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ในบางส่วน แต่ประเทศอื่น ๆ ในโลกจะเจ็บหนักกว่ามาก" พร้อมย้ำว่าหากอิหร่านเลือกเดินในเส้นทางนี้ ประชาคมโลกจะรวมพลังตอบโต้โดยทันทีและไม่ยอมให้เสรีภาพในการเดินเรือถูกคุกคาม

"นี่จะเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจสำหรับอิหร่าน" รูบิโอสรุป

สหรัฐฯ ยืนยันความพร้อมในการปกป้องเสรีภาพในการเดินเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผ่านบทบาทของกองเรือที่ 5 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งประจำการอยู่ในบาห์เรน และถือเป็นกองกำลังหลักในการดูแลความมั่นคงในพื้นที่

โกลด์แมน แซคส์เตือน: วิกฤตช่องแคบฮอร์มุซอาจดันราคาน้ำมันแตะ 110 ดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ แม้ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าอิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือไม่ โกลด์แมน แซคส์ ได้ออกบทวิเคราะห์เตือนถึงความเสี่ยงด้านเสถียรภาพพลังงานโลก หากเกิดความปั่นป่วนในช่องแคบฮอร์มุซว่า หากการขนส่งน้ำมันผ่านเส้นทางนี้ลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน และยังคงลดลงต่อเนื่อง 10% อีก 11 เดือน ราคาน้ำมันเบรนท์อาจพุ่งแตะ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในระยะสั้น

สำหรับความเป็นไปได้ ข้อมูลจาก Polymarket ซึ่งเป็นตลาดคาดการณ์ (Prediction Markets) ที่โกลด์แมน แซคส์อ้างอิง ระบุว่าขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักถึง 52% ต่อความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซภายในปี 2568 แม้ว่าตลาดดังกล่าวจะมีสภาพคล่องที่ยังคงจำกัด โดยโกลด์แมน แซคส์วิเคราะห์ผลกระทบภายใต้ 2 กรณีสำคัญ คือ

  • กรณีชะลอตัวชั่วคราว: หากอิหร่านลดการส่งออกน้ำมันลง 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนจะฟื้นตัวในระยะต่อมา ราคาน้ำมันเบรนท์อาจพุ่งแตะ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงวิกฤติ ก่อนจะทยอยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลภายในปี 2026
  • กรณีชะลอตัวถาวร: หากการผลิตน้ำมันของอิหร่านยังคงอยู่ในระดับต่ำโดยไม่มีการฟื้นตัว ราคาน้ำมันเบรนท์อาจทรงตัวในช่วง 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2026 สะท้อนแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันสำรองโลกที่ลดลงและกำลังการผลิตส่วนเกินที่หดตัว

นอกจากนี้ ในกรณีที่อุปทานน้ำมันของอิหร่านหายไปทันที 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวัน โกลด์แมน แซคส์ประเมินว่าราคาน้ำมันเบรนท์อาจแตะระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในเวลาอันสั้น

ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์เน้นว่า แม้สถานการณ์ในตะวันออกกลางจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่สหรัฐฯ และจีนยังคงมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจร่วมกันที่จะหลีกเลี่ยงวิกฤตในช่องแคบฮอร์มุซให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะเดียวกัน สื่อทางการของอิหร่าน Press TV รายงานว่า การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการปิดช่องแคบจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด แม้ว่ารัฐสภาอิหร่านจะแสดงการสนับสนุนไปแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ยังเตือนว่า ตลาดก๊าซธรรมชาติยุโรป โดยเฉพาะดัชนี TTF อาจเผชิญแรงกดดันด้านราคา หากสถานการณ์ในช่องแคบฮอร์มุซทวีความรุนแรง โดยประเมินว่าราคาก๊าซในยุโรปอาจขยับขึ้นแตะ 74 ยูโรต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง (ประมาณ 25 ดอลลาร์สหรัฐต่อ MMBtu)

อย่างไรก็ตาม ราคาก๊าซในสหรัฐฯ น่าจะได้รับผลกระทบในระดับจำกัด เนื่องจากสหรัฐฯ มีโครงสร้างตลาดที่แข็งแรง ขีดความสามารถในการส่งออกสูง และความต้องการนำเข้า LNG ภายในประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก

ผลกระทบต่อประเทศไทยจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ: ภาคส่วนไหนได้รับผลกระทบบ้าง?

ในกรณีที่ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดหรือเกิดความขัดแย้งรุนแรง มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ระบุว่า ในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ สายการบินจะเผชิญกับต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น 20-35% ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรลดลง และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์ในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารที่ให้สินเชื่อแก่ภาคการบิน นอกจากนี้ บริษัทขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำก็จะเผชิญกับต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะลดอัตรากำไรขั้นต้น โดยมีข้อจำกัดในการปรับราคาบริการตามต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากการแข่งขันในตลาดและกำลังซื้อที่ลดลง

อีกอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนัก คือ อุตสาหกรรมส่งออกไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากต้นทุนการผลิตและขนส่งที่สูงขึ้น ขณะที่ภาคอาหารและเครื่องดื่มจะเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนการขนส่งและบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายและกำไรลดลง

ในทางตรงกันข้าม อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันในประเทศจะได้รับประโยชน์จากราคาผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่สูงขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นและความสามารถในการทำกำไรได้ ขณะเดียวกันบริษัทพลังงานทดแทนก็จะได้รับความสนใจมากขึ้นจากการที่ภาครัฐและเอกชนมุ่งหวังลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า

ด้านตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะมีการปรับตัวแบ่งตามสาขาอย่างชัดเจน กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ในขณะที่กลุ่มการบิน ขนส่ง และค้าปลีกจะได้รับแรงกดดันรุนแรงและอาจปรับตัวลง ดัชนี SET อาจปรับตัวลงในระยะสั้นจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากวิกฤตตะวันออกกลางและวิกฤตการเมืองในประเทศ

สำหรับตลาดตราสารหนี้ คาดว่าจะมีการไหลเข้าของเงินลงทุนจากนักลงทุนที่ต้องการหลบภัยจากความไม่แน่นอน โดยเฉพาะตราสารหนี้รัฐบาลไทยระยะสั้นและกลาง ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภูมิภาค คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจลดลง 10-15 จุดพื้นฐาน

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะเผชิญกับแรงกดดันจากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ โดยเฉพาะหากสถานการณ์ในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงสู่ 35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 4 จากปัจจุบันที่ 32.8 บาท

ด้านเสถียรภาพการเงิน ระบบธนาคารไทยจะเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะในภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ที่คาดว่าอัตราหนี้สูญ (NPL) จะเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อรถยนต์และจักรยานยนต์ก็จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องรองรับต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันเงินฝากในระบบธนาคารอาจเพิ่มขึ้นจากการสะสมเงินสดเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

ในภาพรวม ไทยอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากวิกฤตนี้ได้ทั้งหมด แต่การเตรียมความพร้อมทั้งในด้านการวางแผนทางเศรษฐกิจและการปรับตัวให้ทันสถานการณ์เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ไทยเตรียมพร้อมอย่างไรบ้างในการรับมือกับการปิดช่องแคบฮอร์มุซ?

สำหรับการรับมือและการเตรียมการจากรัฐบาลไทย ล่าสุด นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เรียกประชุมด่วนในวันนี้ เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์ หลังจากอิหร่านออกมาเตือนว่าอาจตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว

หลังการประชุม นายพีระพันธุ์ เผยว่า ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงหากเส้นทางดังกล่าวถูกปิดเพราะไทยพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 90% ของการบริโภคภายในประเทศ โดยประมาณ 60% ของน้ำมันดิบที่นำเข้ามาจากตะวันออกกลาง ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน ซึ่งต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางหลัก

เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบ กระทรวงพลังงานจึงได้เตรียมแผนฉุกเฉิน และวางฉากทัศน์ (Scenario) หลากหลายรูปแบบเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในกรณีที่สงครามยืดเยื้อหรือกรณีที่ช่องแคบฮอร์มุซปิดในระยะยาวโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า

มาตรการแรกได้แก่ การสำรองน้ำมัน 60 วัน พร้อมเสริมแผนจัดหาจากแหล่งอื่น โดย ข้อมูล ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2568 ระบุว่า ไทยมีน้ำมันสำรองในประเทศเพียงพอต่อการใช้งาน 60 วัน แบ่งเป็น

  • น้ำมันดิบสำรองในประเทศ: ใช้ได้ 22 วัน
  • น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างการขนส่ง (ผ่านช่องแคบฮอร์มุซแล้ว): ใช้ได้ 20 วัน
  • น้ำมันสำเร็จรูป: ใช้ได้ 18 วัน

นายพีระพันธุ์ยืนยันว่า หากสถานการณ์ทวีความรุนแรง จะมีการบริหารจัดการน้ำมันสำรองอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านปริมาณ พร้อมเร่งหาน้ำมันดิบจากแหล่งอื่นในภูมิภาคเพื่อทดแทนความเสี่ยงจากการปิดเส้นทางเดิม รวมถึงพิจารณาเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มเติม

นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันภายในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2568 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสถานะติดลบประมาณ 35,408 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • บัญชีก๊าซหุงต้ม: ติดลบ 44,403 ล้านบาท
  • บัญชีน้ำมัน: บวก 8,995 ล้านบาท

ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนมาแล้ว 4 ครั้ง ทั้งในกลุ่มน้ำมันเบนซินและดีเซล เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า นอกจากการใช้กลไกของกองทุนแล้ว อาจพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังในการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มเติม หากราคาน้ำมันยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของไทย นายพีระพันธุ์เผยว่า ปัจจุบันต้องนำเข้าผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน กระทรวงพลังงานจึงได้สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เร่งจัดหาก๊าซ LNG จากแหล่งอื่นที่มีราคาถูก เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านราคาค่าไฟฟ้าที่จะตามมาในระยะต่อไป

นายพีระพันธุ์ย้ำว่า กระทรวงพลังงานติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทุกวัน พร้อมวางแนวทางบริหารจัดการด้านปริมาณและราคาพลังงานอย่างรอบด้าน ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และขอให้ร่วมมือกันใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อช่วยลดภาระการนำเข้าและค่าใช้จ่ายของประเทศ

อ้างอิง: CBS, Reuters, BBC


แชร์
ปิดช่องแคบฮอร์มุซเสียหายเท่าไหร่? ประเทศไหนเดือดร้อน? ไทยพร้อมแค่ไหน?