ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่งระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยวินิจฉัยว่าคำสั่งนี้เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตกฎหมายฉุกเฉิน และกฎหมายของรัฐบาลกลางไม่ได้ให้อำนาจแบบไร้ขอบเขตแก่ประธานาธิบดีในการจัดเก็บภาษีจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
คำตัดสินนี้มีขึ้นโดยคณะผู้พิพากษา 3 คน ได้แก่ ทิโมธี ไรฟ์ (ได้รับการแต่งตั้งโดยทรัมป์), เจน เรสทานี (โดยโรนัลด์ เรแกน) และแกรี แคทซ์แมน (โดยบารัค โอบามา) ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการจัดเก็บ “ภาษีวันปลดแอก” ตามคำสั่งของทรัมป์อยู่นอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 ซึ่งเดิมถูกออกแบบมาเพื่อรองรับมาตรการคว่ำบาตรและควบคุมการเงินระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน ไม่ใช่เพื่อการขึ้นภาษีการค้าอย่างกว้างขวาง
คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อแนวทางการใช้อำนาจฝ่ายบริหารของทรัมป์อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะความพยายามในการใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองทางการค้า และบีบบังคับให้คู่ค้ามาเปิดโต๊ะยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ
ภายใต้คำตัดสินนี้ ในอนาคตทรัมป์อาจไม่สามารถเดินหน้าใช้นโยบายขู่ขึ้นภาษีเพื่อบีบให้ประเทศต่าง ๆ ยอมเจรจาตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ถือเป็นความพ่ายแพ้ในเชิงกฎหมายที่ลดทอนอิทธิพลทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาวในเวทีระหว่างประเทศ
คดีที่นำไปสู่คำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ เริ่มต้นจากการยื่นฟ้องโดยกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หนึ่งในโจทก์หลักคือบริษัทนำเข้าไวน์ V.O.S. Selections ซึ่งระบุว่าภาษีที่ประกาศใช้ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากจนธุรกิจอาจไม่สามารถดำเนินต่อได้ อีกทั้งยังมี 12 รัฐที่เข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วม นำโดยรัฐออริกอน โดยต่างตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของการใช้อำนาจในครั้งนี้
กลุ่มโจทก์ทั้งหมดชี้ว่าการขึ้นภาษีที่ทรัมป์เรียกว่า “ภาษีวันปลดแอก” ขัดต่อขอบเขตที่กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 ให้อำนาจไว้ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ เช่น การคว่ำบาตร ไม่ใช่เพื่อกำหนดหรือขึ้นภาษีการค้าทั่วไป อีกทั้งการออกคำสั่งโดยไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาก็ถือเป็นการหลีกเลี่ยงกลไกการตรวจสอบตามระบบประชาธิปไตย
ประเด็นหลักที่ฝ่ายฟ้องร้องหยิบยกคือการที่ทรัมป์ตีความอำนาจตามกฎหมาย IEEPA กว้างเกินขอบเขตที่กฎหมายตั้งใจไว้ โดยในเดือนเมษายน เขาได้ประกาศขึ้นภาษีกับสินค้าจากหลายประเทศ รวมถึงแคนาดาและเม็กซิโก โดยให้เหตุผลว่าการนำเข้าสารเสพติดเฟนทานิลและการขาดดุลการค้าเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจของชาติ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโจทก์เห็นว่าการขาดดุลการค้าไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินตามกฎหมายกำหนด เพราะสหรัฐฯ ขาดดุลต่อเนื่องมานานถึง 49 ปี และไม่เคยถือว่าเป็นเหตุวิกฤตที่ต้องใช้อำนาจพิเศษ การนำ IEEPA มาใช้เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจาการค้ากับประเทศอื่นจึงถือว่าไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และอาจกลายเป็นแบบอย่างที่เปิดช่องให้ผู้นำใช้อำนาจด้านการค้าได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในอนาคต
เจฟฟรีย์ ชวาบ ทนายความจาก Liberty Justice Center ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการ กล่าวต่อศาลว่า หากศาลยอมรับแนวทางของทรัมป์ เท่ากับเปิดทางให้ประธานาธิบดีสามารถ “ขึ้นภาษีกับประเทศใดก็ได้ ในอัตราใดก็ได้ และเมื่อใดก็ได้” เพียงแค่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุลในระบบประชาธิปไตย
เจ้าหน้าที่รัฐออริกอนเองก็ให้เหตุผลในทำนองเดียวกันว่า การขาดดุลการค้าไม่ใช่เหตุให้ใช้อำนาจฉุกเฉินตามกฎหมาย และการใช้กฎหมายนี้เพื่อการต่อรองทางการค้าเป็นการบิดเบือนบทบาทของอำนาจฝ่ายบริหาร
เมื่อถึงคราวตัดสิน คณะผู้พิพากษาทั้งสามคนจากศาลการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของทั้งสามพรรคการเมืองหลักต่างมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการออกคำสั่งขึ้นภาษีในลักษณะดังกล่าว “เกินขอบเขตอำนาจ” ของกฎหมาย IEEPA ปี 1977 โดยระบุในคำพิพากษาว่า “คำสั่งเก็บภาษีแบบทั่วโลกและลักษณะตอบโต้นั้นอยู่นอกเหนือกรอบอำนาจที่กฎหมายให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการควบคุมนำเข้า”
อย่างไรก็ตาม คำตัดสินของศาลในครั้งนี้มีผลจำกัดเฉพาะภาษีที่ทรัมป์ประกาศในวันที่ 2 เมษายนเท่านั้น ซึ่งอิงจาก IEEPA โดยตรง ดังนั้น
คำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อยุทธศาสตร์การค้าของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างอำนาจต่อรองกับประเทศต่าง ๆ ขณะนี้ยังมีข้อตกลงมากกว่า 18 ฉบับที่อยู่ระหว่างการเจรจา และคำวินิจฉัยของศาลอาจส่งผลให้กระบวนการเหล่านั้นสะดุด ผู้ช่วยระดับสูงในฝ่ายบริหารเตือนก่อนหน้านี้ว่า หากคำตัดสินออกมาไม่เป็นคุณ อาจทำให้ข้อตกลงหลายฉบับล่มกลางทาง
เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่า คำตัดสินดังกล่าวจะบั่นทอนความสามารถของสหรัฐฯ ในการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่หลายการเจรจายังไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าทรัมป์จะเริ่มมีการลดภาษีบางส่วนกับจีน และบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับสหราชอาณาจักรแล้วก็ตาม แต่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมาย “ข้อตกลงใน 90 วัน” ที่เขาเคยประกาศไว้
ด้านทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ตอบโต้ผ่านโฆษก คุช เดไซ โดยระบุว่าความไม่เป็นธรรมทางการค้าได้ทำลายชุมชนอเมริกันและอ่อนแอฐานอุตสาหกรรมของประเทศ พร้อมยืนยันว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในการกำหนดแนวทางรับมือภาวะฉุกเฉินของประเทศ” และทรัมป์จะใช้อำนาจของฝ่ายบริหารอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้
ในระหว่างการพิจารณาคดี ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมได้พยายามปกป้องการกระทำของประธานาธิบดี โดยยืนยันว่าศาลไม่มีอำนาจเข้ามาตรวจสอบการตัดสินใจของผู้นำประเทศในกรณีภาวะฉุกเฉิน แนวทางนี้สร้างความกังวลให้กับผู้พิพากษาบางราย โดยเฉพาะในคดีที่รัฐออริกอนร่วมกับอีก 11 รัฐยื่นฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามถาวรต่อภาษีของทรัมป์
เบรตต์ ชูเมต ทนายจากกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า “ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจตัดสินว่าจะจัดการกับภาวะฉุกเฉินอย่างไร” ซึ่งสะท้อนจุดยืนว่าการกำหนดนโยบายการค้าภายใต้กรอบของ IEEPA เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่ผู้พิพากษาเจน เรสทานี ได้ตอบกลับอย่างชัดเจนว่า “ไม่ว่าแผนจะวางมาดีแค่ไหน ก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย”
แม้คำตัดสินครั้งนี้จะถือเป็นความพ่ายแพ้สำคัญของทรัมป์ในแง่ของยุทธศาสตร์การค้า แต่ก็ยังไม่ถือเป็นบทสรุปสุดท้ายของเรื่องทั้งหมด เท็ด เมอร์ฟี ทนายจากสำนักงานกฎหมาย Sidley Austin ระบุว่า รัฐบาลยังสามารถขอให้ศาลระงับคำตัดสินไว้ชั่วคราว และอาจหันไปใช้มาตรการทางกฎหมายอื่นที่ยังเปิดช่องให้สามารถเรียกเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ได้
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ระบุในรายงานถึงลูกค้าว่า ทำเนียบขาวยังมีแนวทางอื่นที่สามารถนำมาใช้แทนภาษีที่ถูกระงับไป
หนึ่งในทางเลือกคือการอ้างใช้มาตรา 232 ซึ่งเปิดทางให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีจากการนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ โดยอิงเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยหากการสอบสวนในปัจจุบันทั้งหมดนำไปสู่การเก็บภาษีในอัตรา 25% และรวมกับภาษีเดิมภายใต้มาตราเดียวกัน จะส่งผลให้ภาระภาษีรวมเพิ่มขึ้นถึง 7.6 จุดเปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ยังมีการใช้มาตรา 122 ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลเก็บภาษีสูงสุด 15% เป็นระยะเวลา 150 วัน หรือการเริ่มการสอบสวนภายใต้มาตรา 301 ซึ่งแม้จะใช้เวลานานกว่า แต่ก็ถือเป็นช่องทางที่รัฐบาลสามารถนำมาใช้ในการเดินหน้าวาระด้านภาษีระหว่างประเทศต่อไปได้
ล่าสุด รัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแล้ว และมีแนวโน้มว่าคดีนี้อาจถูกส่งต่อไปยังศาลสูงสุดของประเทศ เพื่อพิจารณาว่าประธานาธิบดีสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายฉุกเฉินในการกำหนดนโยบายภาษีได้มากเพียงใด