ธุรกิจการตลาด

ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่ง ให้ศาลปกครองกลาง “รับคำฟ้อง” รวม “ทรู” กับ “ดีแทค”

30 ต.ค. 66
ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่ง ให้ศาลปกครองกลาง “รับคำฟ้อง” รวม “ทรู” กับ “ดีแทค”

กรณีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสำนักงานกสทช. เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง) ที่ไม่รับคำฟ้อง กรณีขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือ คำสั่งเพิกถอนมติของคณะกรรมการกสทช. ที่เห็นชอบการรวมกิจการระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) 

ในวันนี้ สำนักงานศาลปกครองได้เผยแพร่คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2566 ว่า มีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง เป็น “ให้รับคำฟ้อง” นี้ไว้พิจารณาพิพากษาตามรูปคดีต่อไป เนื่องจากไม่เห็นพ้องกับศาลปกครองกลางที่จะไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

เนื่องจากศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟ้องต่อไปว่า การฟ้องคดีนี้จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ที่ศาลจะรับไว้พิจารณาไว้ตามาตรา 52 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่

รวมถึง ศาลปกครองสูงสุด ยังเห็นว่า บริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และด้วยปริมาณคลื่นความถี่ที่มีจำนวนจำกัด และการลงทุนต้องใช้เงินจำนวนมาก ทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคม จึงมีผู้ประกอบการจำนวนน้อยราย จึงทำให้มีลักษณะเป็นการกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ การที่ผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมจะรวมกิจการกันหรือไม่ จึงกระทบต่อการแข่งขันอย่างเสรีเป็นธรรม ส่งผลให้ผู้ใช้บริการได้รับผลกระทบในวงกว้าง จึงถือได้ว่า การฟ้องคดีนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อการให้บริการสาธารณะโดยตรง 

คงต้องติดตามกันต่อไปว่า คดีนี้ศาลปกครองกลางจะพิจารณาออกมาเป็นเช่นไร กสทช.ใช้อำนวจโดยมิชอบหรือไม่ แล้วจะถึงขั้นมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้เพิกถอนมติการรวมกิจการหรือไม่ แล้วการรวมกิจการไปแล้วของ TRUE กับ DTAC ต้องทำอย่างไร 

เพราะเห็นว่าการฟ้องคดีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะบริการโทรคมนาคมป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณคลื่นความถี่ที่มีจำนวนจำกัด อีกทั้งการลงทุนในการประกอบกิจการต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก

ตลาดหรืออุตสาหกรรมโทรคมนาคมจึงมีผู้ประกอบการน้อยราย จึงทำให้มีลักษณะเป็นการกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ การที่ผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมจะควบรวมธุรกิจกันหรือไม่ จึงกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม มีผลทำให้ผู้ใช้บริการได้รับผลกระทบในวงกว้าง จึงถือได้ว่าการฟ้องคดีนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์อันเกิดแก่การจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง

การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย

advertisement

SPOTLIGHT