Grab, Bolt, LINE MAN Taxi, airasia ride และอีกหลากหลายแอปพลิเคชันเรียกรถ (Ride Hailing) ในบ้านเรา แม้จะเป็นเส้นทางที่เราเดินทางบ่อย แต่หลายครั้งค่ารถก็อาจต่างกันเป็น ‘เท่าตัว’ ซึ่งหากเทียบกับแท็กซี่มิเตอร์แล้ว ค่าบริการการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันดูจะมีช่วงราคาที่แกว่งกว่ามาก เพราะแท้จริงแล้ว ค่าบริการการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เกิดจากองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็น Grab, Bolt, LINE MAN Taxi, airasia ride หรือเจ้าไหนๆ ก็ต้องยึดตามนี้
ค่าบริการเรียกรถจะถูก หรือ แพง ขึ้นกับ 3 ส่วน
แม้การเรียกรถผ่านแต่ละแอปพลิเคชันจะคิดค่าบริการต่างกัน แต่จากการสอบถามหนึ่งในผู้ให้บริการเรียกรถในประเทศไทยพบว่า การคิดค่าบริการจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของ “ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารและค่าบริการอื่นสำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๔” ซึ่งเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ
ค่าโดยสาร = ค่าบริการตามขนาดรถและระยะทาง + ค่าเรียกรถผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ + ค่าบริการเพิ่มเติม (สภาพการจราจรติดขัด, ปริมาณรถไม่เพียงพอต่อความต้องการ)
ส่วนที่ 1 : ค่าบริการตามขนาดรถ และระยะทาง
กระทรวงคมนาคมแบ่งรถที่ให้บริการออกเป็น 3 ขนาดด้วยกัน ซึ่งค่าบริการตามระยะทางจะแตกต่างกัน ดังนี้
- ขนาดเล็ก (เครื่องยนต์ 50 - 90 กิโลวัตต์) เช่น March, Vios, City, Mirage
ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรก 40 - 45 บาท
เกินกว่า 2 กิโลเมตรขึ้นไป 6 - 10 บาท/กิโลเมตร - ขนาดกลาง (เครื่องยนต์ 90 - 120 กิโลวัตต์) เช่น Altis, Civic
ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรก 45 - 50 บาท
เกินกว่า 2 กิโลเมตรขึ้นไป 7 - 12 บาท/กิโลเมตร - ขนาดใหญ่ (เครื่องยนต์ขนาด 120 กิโลวัตต์ ขึ้นไป) เช่น Accord, Fortuner
ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรก 100 - 150 บาท
เกินกว่า 2 กิโลเมตรขึ้นไป 12 - 16 บาท/กิโลเมตร
ส่วนที่ 2 : ค่าเรียกรถผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (กฎหมายกำหนดไว้ที่ 20 บาท)
ส่วนที่ 3 : ค่าบริการเพิ่มเติม
- ค่าบริการเพิ่มเติมกรณีการจราจรติดขัด
ประกาศกระทรวงระบุไว้ชัดเจนว่า ‘สามารถเรียกเก็บเพิ่มในอัตรา 2 บาท/นาที’
หากเป็นการจราจรในกรุงเทพมหานครช่วงเลิกงาน หรือฝนตกด้วยแล้ว เราอาจเห็นค่าโดยสารขยับจาก 100 กว่าบาท เป็น 300 - 400 บาทเลยก็เป็นได้
- ค่าบริการเพิ่มเมื่อปริมาณรถไม่เพียงพอต่อความต้องการ
เกิดขึ้นเมื่อปริมาณ Demand - Supply ของผู้ใช้กับคนขับไม่สมดุลกัน ตัวอย่างเช่น เรียกรถที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี พร้อมๆ กับคนอื่นร้อยคน แต่ในโซนใกล้ๆ มีรถไม่ถึงร้อยคัน หมายความว่าแพลตฟอร์มก็ต้องกระจายงานไปให้คนขับในโซนที่ไกลออกไป ซึ่งต้องมีค่าเดินทางเพิ่มเพื่อดึงดูดให้เขาขับเข้ามานั่นเอง
โดยแพลตฟอร์มสามารถเรียกเก็บเพิ่มได้ไม่เกิน 1 เท่าของค่าโดยสารข้างต้น แต่ต้องไม่เกิน 200 บาท
แปลว่าถ้าปกติค่ารถไม่ถึง 200 บาท แต่ถ้าวันนั้นรถวิ่งน้อย หรือไม่เพียงพอกับจำนวนคนเรียก อาจโดนเก็บเพิ่มอีก เป็นเท่าตัวได้เลย
Grab, Bolt, LINE MAN Taxi, airasia ride คิดค่ารถอย่างไรบ้าง?
หากลองดูวิธีการคิดค่าบริการคร่าวๆ ของ 4 ผู้ให้บริการในไทย ได้แก่ Grab, Bolt, Line Taxi, airasia ride จะพบว่าเป็นดังนี้
Grab
ค่าโดยสารปกติ = ค่าโดยสารเริ่มต้น 25บาท + 10 บาท/กม. (เริ่มคิดตั้งแต่กม.แรกตามระยะทางจริง)
LINE MAN Taxi
LINE MAN Taxi คิดค่าโดยสารตามมิเตอร์ ไม่มีการคิดราคาเหมาจ่าย และมีค่าเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันครั้งละ 20-50 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและความต้องการเรียกรถแท็กซี่ในขณะนั้น
Bolt
- Taxi (รถแท็กซี่) : ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 35 บาท
- Economy (รถทั่วไปราคาประหยัด) : ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 40 บาท
- Ladies (รถทั่วไปสำหรับผู้หญิง) และ Bolt (รถทั่วไปเรียกใช้บริการได้ไวที่สุด) : ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 45 บาท
- Comfort (รถยนต์รุ่นใหม่) และ XL (รถไซส์ใหญ่) : ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 100 บาท
airasia ride
ยังไม่เปิดเผยวิธีการคิดค่าโดยสาร แต่เปิดเผยว่าจะใช้กลยุทธ์ดึงดูดผู้ใช้บริการทั้งค่าเรียกรถ อัตราค่าโดยสาร และบริการอื่น ๆ เช่น ค่ายกสัมภาระ (ถ้ามี) ต่ำกว่าคู่แข่ง 15% ในระยะแรกของการทำตลาด
จะเห็นได้ว่า ค่าบริการการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันในไทย แม้แต่ละเจ้าจะมีราคาต่างกัน แต่ก็ยังอยู่ภายใต้กรอบที่กระทรวงคมนาคมได้กำหนดไว้ แต่อีกปัจจัยที่เป็นเรื่องสำคัญแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีกฎกติกามาดูแลอย่างชัดเจนคือ “ค่าตอบแทนของคนขับที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน” อาชีพอิสระที่มีความเสี่ยงทั้งด้านรายได้ ความปลอดภัย และความอ่อนไหวก็การปรับราคาค่ารอบ ซึ่งในยุคที่เรากำลังก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล จะมีแรงงานแพลตฟอร์มมากขึ้น การกำกับดูแล สวัสดิการ ก็ควรจะต้องพัฒนาให้เหมาะกับอาชีพยุคใหม่นี้ด้วยเช่นกัน