ธุรกิจการตลาด

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 66 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

23 เม.ย. 67
ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 66 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนใช้ชีวิตเร่งรีบ บวกกับเทรนด์การทำงานที่บ้าน (Work from Home) และการเว้นระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคของทานเล่นหรือสแน็ค (Snacks) เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ตลาดสแน็คทั่วโลกมีมูลค่ามหาศาล แตะ 6.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เหตุผลหลักมาจากความสะดวก รวดเร็ว และความเพลิดเพลินที่ช่วยผ่อนคลายระหว่างทำงาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมใช้เวลากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาศัยอยู่คนเดียวหรือเป็นครอบครัวขนาดเล็ก

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 2566 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 66 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

จากข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ (Euromonitor) บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำ ระบุว่า ในปี 2566 ตลาดค้าปลีกสแน็คของโลกมีมูลค่ารวม 643,805.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นประเภทหลัก ดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์ขนมหวานชนิดต่าง ๆ ที่ทำด้วยน้ำตาล (Confectionery) เช่น ช็อกโกแลต ลูกอม และหมากฝรั่ง : 211,045.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วน 32.8%)
  • ไอศกรีม (Ice Cream) : 86,719.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วน 13.5%)
  • ของทานเล่นรสเค็มหรือเผ็ด (Savoury Snacks) เช่น มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ และขนมอบปรุงรส : 228,481.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วน 35.5%)
  • ของทานเล่นรสหวาน (Sweet Biscuits, Snack Bars and Fruit Snacks) เช่น ขนมปังกรอบรสหวาน คุกกี้ และธัญพืชอัดแท่ง : 117,558.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วน 18.3%)

โดยตลาดค้าปลีกสแน็คมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 เฉลี่ยประมาณร้อยละ 5.4 ต่อปี

ตลาดสแน็คเพื่อสุขภาพ เติบโตสูง อนาคตสดใส ผู้บริโภคยุคใหม่! หันมาใส่ใจสุขภาพ

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 66 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) อธิบายว่า พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่เน้นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ทางภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้ลดการบริโภคหวาน มัน เค็ม และสนับสนุนผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้ผลิตสแน็คหันมาพลิกสูตร ปรับวัตถุดิบ เพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

สำหรับในปี 2566 ที่ผ่านมาตลาดค้าปลีกสแน็คเพื่อสุขภาพของโลกมีมูลค่าสูงถึง 315,399.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ประเภทสแน็คที่ได้รับความนิยม ได้แก่

  • สแน็คที่ไม่มีกลูเตน (Gluten Free Snacks)
  • สแน็คที่ไม่มีน้ำตาล (No Sugar Snacks)
  • สแน็คที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ (Vegan Snacks)
  • สแน็คที่มีไฟเบอร์สูง (High Fiber Snacks)
  • สแน็คไขมันต่ำ (Low Fat Snacks)

โดยประเทศที่มีอัตราการเติบโตของการบริโภคส แน็คเพื่อสุขภาพสูง ได้แก่ จีน ฮ่องกง ชิลี บราซิล อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ตลาดสแน็คไทยโตทะลุ 1 แสนล้านบาท เทรนด์ใหม่มาแรง "สแน็คเพื่อสุขภาพ"

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 66 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

เมื่อพิจารณามูลค่าตลาดค้าปลีกสแน็คของไทย ในปี 2566 พบว่า ตลาดค้าปลีกสแน็คของไทยในปี 2566 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 105,200.7 ล้านบาท แบ่งตามประเภทดังนี้

  • ขนมขบเคี้ยวทั่วไปมูลค่า 47,206.8 ล้านบาท (คิดเป็น 44.9% ของมูลค่าตลาด)
  • ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพมูลค่า 28,314.8 ล้านบาท (คิดเป็น 26.9% ของมูลค่าตลาด)
  • ขนมหวานมูลค่า 19,046.3 ล้านบาท (คิดเป็น 18.1% ของมูลค่าตลาด)
  • ไอศกรีมมูลค่า 10,632.8 ล้านบาท (คิดเป็น 10.1% ของมูลค่าตลาด)

ที่น่าสนใจคือตลาดขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพในประเทศไทยมีมูลค่า 28,314.8 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 11.3% ต่อปี สินค้าสแน็คเพื่อสุขภาพที่มียอดขายสูง 5 อันดับแรก ได้แก่

  • สแน็คที่ไม่มีน้ำตาล (No Sugar Snacks) : 4,378.1 ล้านบาท
  • สแน็คที่ไม่มีกลูเตน (Gluten Free Snacks) : 2,991.7 ล้านบาท
  • สแน็คที่เพิ่มวิตามิน (Good Source of Vitamins Snacks) : 2,872.2 ล้านบาท
  • สแน็คที่มีโปรตีนสูง (High Protein Snacks) : 2,654.3 ล้านบาท
  • สแน็คที่มีไฟเบอร์สูง (High Fiber Snacks) : 1,858.4 ล้านบาท

ในปี 2566 สินค้าสแน็คที่มีการเติบโตโดดเด่น ได้แก่

  • สแน็คจากพืช (Plant-Based Snacks) : เติบโต 56.6%
  • สแน็คที่มีโปรตีนสูง (High Protein Snacks) : เติบโต 22.5%
  • สแน็คที่ไม่เติมน้ำตาลเพิ่ม (No Added Sugar Snacks) : เติบโต 20.9%

สินค้าสแน็คไทยส่งออกพุ่ง! ช็อกโกแลต แมลง ขนมปังขิง โปรตีนพืช มาแรง

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 66 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

ข้อมูลจาก Global Trade Atlas (GTA) เผยให้เห็นถึงศักยภาพของสแน็คไทย โดยในปี 2566 มูลค่าการส่งออกสแน็คไทยอยู่ที่ 1,954.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโต 5.8% แบ่งเป็นประเภทดังนี้

  • ของทานเล่นรสหวาน: 1,082.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สินค้าหลัก: เพสทรี เค้ก เบเกอรี่ บิสกิต คุกกี้ ขนมปังกรอบ ผลไม้อบแห้ง)
  • ของทานเล่นรสเค็มหรือเผ็ด: 505.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สินค้าหลัก: ปลาปรุงแต่ง ถั่วอบแห้งปรุงแต่ง)
  • ขนมหวานชนิดต่าง ๆ ทําด้วยน้ําตาล: 220.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สินค้าหลัก: ลูกอม ขนมทําจากน้ําตาล)
  • ไอศกรีม: 146.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินค้าสแน็คไทยที่ส่งออกดี

1.ช็อกโกแลตและอาหารปรุงแต่งอื่น ๆ มีไส้และไม่มีไส้ 2.ผลิตภัณฑ์จากแมลง 3.ขนมปังขิง 4.โปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน (เช่น เนื้อสัตว์จากพืช ผงโปรตีน)

5 อันดับ ตลาดส่งออกสแน็คไทย

  1. จีน (18.1%)
  2. สหรัฐอเมริกา (15.3%)
  3. ออสเตรเลีย (7.0%)
  4. กัมพูชา (5.3%)
  5. เวียดนาม (5.0%)

สําหรับตลาดที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูง เช่น อาร์เจนตินา สเปน บราซิล เดนมาร์ก และอินเดีย

ไทยมีศักยภาพด้านขนมขบเคี้ยวบนเวทีโลก จากแหล่งวัตถุดิบชั้นดี สู่สแน็คคุณภาพระดับโลก

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 66 เติบโตทะลุแสนล้านบาท เทรนด์ขนมเพื่อสุขภาพมาแรง

ประเทศไทยของเรามีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมสแน็ค ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ผสานภูมิปัญญาอันล้ำค่าในการแปรรูปอาหาร ผลลัพธ์ที่ได้คือผลิตภัณฑ์สแน็คหลากหลายชนิด ที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เทรนด์การบริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หลายประเทศจึงออกกฎระเบียบ มาตรฐาน และฉลากสินค้าเพื่อรับรองคุณภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์

สุดท้ายนี้ตลาดสแน็คไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ ซึ่งผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ สะท้อนจากสินค้าประเภทสแน็คจากพืช โปรตีนสูง และไม่เติมน้ำตาลเพิ่ม ที่มียอดขายเติบโตสูง ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัว พัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เน้นใช้วัตถุดิบธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพื่อคว้าโอกาสในตลาดสแน็คเพื่อสุขภาพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ที่มา สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT