ธุรกิจการตลาด

Pet Parent เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก เศรษฐกิจแย่แค่ไหน แม่ทุ่มได้เพื่อลูก!

21 มี.ค. 66
Pet Parent เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก เศรษฐกิจแย่แค่ไหน แม่ทุ่มได้เพื่อลูก!
ไฮไลท์ Highlight
  • Pet Parent หรือ ทาสหมา ทาสเเมว คือ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงให้เหมือนลูก เป็นผลสืบเนื่องมาจากหากิจกรรมที่ผ่อนคลายช่วงโควิด-19
  • CMMU พบว่า คนไทยยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของตน มากถึง 14,200 บาทต่อตัวต่อปี
  • อุตสหกรรมสัตว์เลี้ยงในไทยในปี 2566 อาจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 8-10%
  • โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ มีรายได้ปี 2564 มากถึง 936 ล้านบาท เเละกำไรกว่า 100 ล้านบาท

ผลสำรวจของ วิทยาลัยการจัดการ มหาลัยมหิดล (CMMU) พบว่า “คนไทยมีพฤติกรรมให้ความสนใจกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น และมากกว่า 49% เลือกเลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) และยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกๆสี่ขา มากถึง 14,200 บาทต่อตัวต่อปี” 

เปิดปรากฎการณ์ เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก 

ปรากฎการณ์ Pet Humanization หรือ Pet Parent คือการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงให้เหมือนลูก หรือ การให้ความใส่ใจดูแล ทั้งในเรื่องของ เงิน เวลา และ ความรัก เหมือนสมาชิกของครอบครัว หรือที่เราคุ้นหูกันว่า “ทาสหมา ทาสเเมว”

ตัวเเปรสําคัญที่ทําให้คนนิยมหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องมาจากการคนหากิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการกักตัวอยู่บ้าน ในช่วงการเเพร่ระบาดของโควิด-19 

กระทรวงสาธารณสุขของไทย เปิดเผยว่า ข้อมูลทางสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2553- 2563 ประชากรเด็กและวัยรุ่นได้ลดลงมากกว่า 2.1 ล้านคน แต่ในทางกลับกัน อัตราการลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัข-แมว เพิ่มขึ้นในทุกๆปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการรับสัตว์เลี้ยงเข้ามาเติมเต็มในครอบครัว แทนการมีลูก

ในปี 2566 สมาคมป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ พบว่า ชาวออสเตรเลียลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงของตนมากกว่า 28.7 ล้านตัว และประมาณ 69% ของครัวเรือนออสเตรเลียเลี้ยงสัตว์เลี้ยง โดยสุนัขเป็นสัตว์ที่พบบ่อยที่สุด หรือประมาณ 48% ตามมาด้วยแมว 38%

ขณะที่ในสหรัฐฯ มากกว่า 70% ของชาวอเมริกัน มีสัตว์เลี้ยงสี่ขาครอบครองไว้ในบ้าน จากการสำรวจพบว่า 69 ล้านครัวเรือนเลี้ยงสุนัข และ 45 ล้านครัวเรือนเลี้ยงแมว และการใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนอเมริกันในปี 2565 พุ่งขึ้นสูงมากกว่า 123 พันล้านดอลลาร์แม้ว่าจะต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่เสี่ยงถดถอย หรือเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปีก็ตาม 

นายกสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย TPIA คุณวรพัทธ์ อัครกุลไกรเลิศ  คาดการณ์ว่า แนวโน้มของผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงในปี 2566 จะมีการเติบโตต่อเนื่องถึง 8-10% จากปรากฎการณ์ Pet Humanization นี้เอง 

จากปรากฏการณ์นี้เองจึงไม่แปลกใจเลยที่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงจะเติบโตได้ดีสวนทางกับหลายธุรกิจที่ซบเซาในช่วงโควิด 19 ทั้งโรงแรมสัตว์เลี้ยง อาหารสัตว์เลี้ยง เสื้อผ้า หรือ อุปกรณ์เสริมต่างๆในการเลี้ยงสัตว์ และรวมไปถึงโรงพยาบาลสัตว์ด้วย 

ทีมงาน SPOTLIGHT พามาสำรวจ 1 ในโรงพยาบาลสัตว์เอกชน ที่นับว่าเปิดรักษาสัตว์ 24 ชั่วโมงแห่งแรกในประเทศไทย นั่นก็คือ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ 

เปิดรายได้โรงพยาบาลสัตว์แตะ 1,000 ล้านบาท 

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ก่อตั้งปี 2537 เท่ากับ 27 ปี โดยสพ.ญ. กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง เเละปัจจุบันดํารงตําแหน่ง เป็นประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

ปัจจุบันโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อมี 16 สาขาทั่วประเทศไทย เเละ 1 สาขาที่ เมืองโฮจิมินจ์ ประเทศเวียดนาม เเละมีบริการที่คลอบคลุมมากกว่า 12 ศูนย์โรคเฉพาะทาง และ 8 คลินิก สำหรับผลประกอบการของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ย้อนหลัง จากCreden Data พบว่า :  

รายได้ปี 2560 อยู่ที่ 668 ล้านบาท  กำไร 72 ล้านบาท

รายได้ปี 2561 อยู่ที่ 733 ล้านบาท  กำไร 85 ล้านบาท

รายได้ปี 2562 อยู่ที่ 756 ล้านบาท  กำไร 81 ล้านบาท

รายได้ปี 2563 อยู่ที่ 787 ล้านบาท  กำไร 84 ล้านบาท

รายได้ปี 2564 อยู่ที่ 936 ล้านบาท  กำไร 100ล้านบาท

จากผลประกอบการเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อเคยตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 1,500 ล้านบาท และ “เป็นโรงพยาบาลสัตว์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)”

กลยุทธ์ธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

คลินิกรักษาสัตว์ในประเทศไทยมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่หากนับเฉพาะโรงพยาบาลสัตว์ที่สามารถรักษาได้อย่างครบวงจรและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับขนาดใหญ่อาจมีอยู่ไม่มากนัก  ซึ่งทางโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลในการดูแลสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน และนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในโรงพยาบาล และต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เป็นแบรนด์คนไทยที่ออกสู่ตลาดโลก ตามความต้องการสินค้าในกลุ่มสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น 

ตัวอย่างการทำวิจัยและร่วมลงทุนกับ บริษัท เวลตี้ ม็อกกี้ อินโนเวชั่น จำกัดในธุรกิจทรายแมวไฮด์แอนด์ซีค เพื่อร่วมพัฒนาแบรนด์คนไทยออกสู่ตลาดโลกเป็นทรายแมวที่ทำจากมันสำปะหลัง 100%  

“คุณสมบัติของทรายแมวนี้จะช่วยดูดซับกลิ่นและของเหลว และสามารถทิ้งลงชักโครกได้ เพราะผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% และสนับสนุนเกษตรกรไทย”

-นายวัฒนพร ตั้งสง่า ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการ บริษัท เวลตี้ ม็อกกี้ อินโนเวชั่น จำกัด 

 

 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT