
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตไว มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตและการเติบโตของอีคอมเมิร์ซสูง แต่ในขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับภูมิภาคและโลก ไทยกลับมีขีดความสามารถทางดิจิทัลต่ำ ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยทั้งในภาคการผลิตและในภาคส่วนการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ก็ต่ำด้วย
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ให้เห็นปัญหาพร้อมกับให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนา-เพิ่มสมรรถภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เพื่อให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงสถานการณ์ปัจจุบันของไทยเข้ากับ 2 กรอบคิดที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2025 โดยมีอาจารย์จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อความยั่งยืน และคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยร่วมให้ข้อมูล เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568
ดร.ธีรข์กรณ์ อุดมรัตนะมณี รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า การเติบโตของเทคโนโลยีดิทัล เศรษฐกิจดิจิทัล และอีคอมเมิร์ซ สอดคล้องกับทฤษฎี Creative Destruction (การทำลายเชิงสร้างสรรค์) ของโจเซฟ ชุมเพเทอร์ (Joseph Schumpeter) ซึ่งมีสองนัย คือ นวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ ทำลายความเชื่อเก่าหรือรากฐานที่มีมา และการเติบโตจะเกิดขึ้นจากการคิดสิ่งใหม่ๆ ทดแทนเทคโนโลยีเก่าที่ล้าสมัย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นระลอกคลื่นของเทคโนโลยี
ทฤษฎี Creative Destruction ถูกขยายความต่อเป็นผลงานที่คว้ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2025 นี้ ซึ่ง ดร.ธีรข์กรณ์บอกว่า ผลงานโนเบลปีนี้บอกกับเราว่า โลกเรากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกที่ดิจิทัลและความสามารถในการแข่งขันจะเป็นต้นทุนใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้น อนาคตไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีได้เร็วแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าสังคมเรียนรู้และปรับตัวได้มากน้อยแค่ไหน
ดร.ธีรข์กรณ์อธิบายด้วยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า ปัจจุบัน มีการพูดคุยถึงการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมหรือค่าจีพีของแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น อีคอมเมิร์ซ บริการเรียกรถ และบริการส่งอาหารกันมากขึ้น หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น หากมองในมุมของการดำเนินธุรกิจ อาจกล่าวได้ว่าการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมเป็นไปตามกลไกการสร้างรายได้ของภาคธุรกิจตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนาการให้บริการ และหากมองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านกรอบของทฤษฎีที่ได้รับรางวัลโนเบล จะพบว่าเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านตามธรรมชาติที่เรียกว่าการทำลายเชิงสร้างสรรค์
“ดังนั้น หากผู้ประกอบการต้องการดำเนินอย่างยั่งยืนบนโลกออนไลน์ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะในยาว เช่น การเลือกกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาและแตกไลน์สินค้า การตั้งราคา ตลอดจน การบริหารต้นทุนในภาพรวม โดยกำหนดกลยุทธ์อย่างคำนึงถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของแพลตฟอร์มและความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ในด้านแพลตฟอร์มเองก็ต้องมีการแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจนและมีเวลาให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนปรับตัวได้” ดร.ธีรข์กรณ์กล่าว
ดร.ธีรข์กรณ์ อุดมรัตนะมณี กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจดิจิทัลมีความสำคัญมากขึ้น เศรษฐกิจดิจิทัลที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2019 เป็นพื้นฐานที่ขับเคลื่อนให้ยอดขายอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตได้สูงมาก จนกล่าวได้ว่าดิจิทัลคอมเมิร์ซเป็นกลไกขับเคลื่อนใหม่ของไทยอย่างแท้จริง
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตถึง 91.2% ของประชากร และคาดว่ามูลค่าการซื้อขายออนไลน์ในปี 2568 จะทะลุ 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 6.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) บ่งชี้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียง “ช่องทางการขายอีกทางหนึ่ง” แต่ได้กลายเป็น “โครงสร้างเศรษฐกิจหลัก” ที่ผู้ประกอบการไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้และควรใช้ประโยชน์ให้เต็มประสิทธิภาพ
ดร.ศุภสัณห์ ปรีดาวิภาต คณบดี คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยให้ข้อมูลให้เห็นภาพว่า แนวโน้มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีรายงาน E-Commerce at the Crossroads ปี 2025 โดย Blackbox Research ชี้ว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตเชิงปริมาณสู่คุณภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 85% ระบุว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกลายเป็นผู้สร้างระบบนิเวศและขยายเครื่องมือดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมถึงขนาดจิ๋ว
“แต่ละประเทศจึงต้องเร่งพัฒนาทักษะดิจิทัลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะด้านสินค้าคงคลังและการจัดการ ดังนั้น คำถามไม่ใช่ว่าเราจะลงแข่งในสนามนี้หรือไม่ แต่คือเราจะสร้างทักษะและกลยุทธ์อย่างไรให้เติบโตได้ในสนามนี้แม้กติกาจะเปลี่ยนไป นี่คือความจริงที่ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมตั้งรับ”
ดร.ศุภสัณห์ ปรีดาวิภาต คณบดี คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ให้เห็นปัญหาว่า ประเทศไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มมากเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค และมีผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่สิ่งที่ประเทศไทยขาด คือ ‘คุณภาพของการเติบโต’ เพราะเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยโตจากปริมาณการใช้เทคโนโลยี ไม่ได้โตจากความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งเสี่ยงสิ่งนี้เรียกว่า “Thailand’s Digital Paradox” เป็นปรากฏการณ์ที่ประเทศมีการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างรวดเร็ว แต่ความสามารถเชิงโครงสร้างและความโปร่งใสในการใช้ข้อมูลยังก้าวตามไม่ทัน
ดร.ศุภสัณห์แสดงความเห็นต่อว่า ถ้าประเทศไทยต้องการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้มีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ต้องเปลี่ยนจุดมุ่งเน้นจากมุ่งเน้น ‘การขยายการใช้เทคโนโลยี’ ไปเป็น ‘การสร้างสมรรถนะหรือสร้างความสามารถในการใช้เทคโนโลยี’ และต้องเปลี่ยนจาก ‘การผลักดันคนขึ้นไปอยู่ในระบบ’ ไปเป็น ‘การทำให้คนที่อยู่บนระบบมีความแข็งแกร่งมากขึ้น’
ดร.ศุภสัณห์ชี้ให้เข้าใจปัญหาว่า สิ่งที่ฉุดรั้งประเทศไทยให้ไปไม่ถึงเศรษฐกิจดิจิทัลแบบยั่งยืน คือ ช่องว่างเชิงโครงสร้าง 3 ด้าน ได้แก่
“ช่องว่างทั้งสามนี้สามารถถูกเติมเต็มได้จากความร่วมมือของทั้งสามฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และแพลตฟอร์ม ในขณะที่เรากำลังพยายามปิดช่องหว่างเหล่านี้ ประเทศเพื่อนบ้านของเราหลายประเทศก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว เขาไม่เพียงแค่ลงทุนในเทคโนโลยี แต่เขาได้สร้างระบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และแพลตฟอร์มอย่างมีกลยุทธ์” คณบดี คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าว
ดร.ศุภสัณห์ เสนอแนะเฟรมเวิร์ก ‘PACE’ เป็นกรอบคิดในการเพิ่มสมรรถนะเชิงเทคนิค 4 ด้าน สำหรับผู้ประกอบการไทย ซึ่งประกอบด้วย
P – Platform Literacy & Digital Operations (สมรรถนะด้านการใช้และจัดการแพลตฟอร์มดิจิทัล) คือ ความเข้าใจระบบแพลตฟอร์ม การใช้เครื่องมือดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เช่น ร้านกาแฟใช้ระบบวิเคราะห์ลูกค้าและปรับโฆษณาตามช่วงเวลาสั่งซื้อหลัก ทำให้ยอดขายเพิ่มและค่าใช้จ่ายลดลง
A – Added-Value Innovation & Service Excellence (สมรรถนะในการสร้างคุณค่าผ่านนวัตกรรมและความเป็นเลิศด้านบริการ) คือ ความสามารถในการสร้างความแตกต่างผ่านนวัตกรรมที่เพิ่มคุณค่าแก่ผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อครอง ‘ส่วนแบ่งความสนใจ’ เช่น แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าเน้นบริการติดตั้งฟรีและการรับประกันสินค้า ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและยอดขายเติบโตต่อเนื่อง
C – Collaborative Brand Trust with Smart Data Use (สมรรถนะในการสร้างความไว้วางใจร่วมผ่านแบรนด์ และการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด) คือ ความสามารถในการสร้างคุณค่าให้ตราสินค้าและฐานข้อมูลลูกค้าของตนเองโดยการใช้ข้อมูลอย่างเข้าใจ โปร่งใส และสร้างสมดุลระหว่างการพึ่งพาแพลตฟอร์มกับการรักษาฐานลูกค้าของตน เช่น แบรนด์เสื้อผ้าวินเทจใช้ QR Code เชื่อมลูกค้าเข้าสู่ระบบสมาชิกกว่า 3,000 รายโดยไม่ต้องพึ่งการโฆษณา
E – Expansion Readiness & Regional Integration (สมรรถนะในการขยายและบูรณาการระดับภูมิภาค) คือ ความสามารถในการเชื่อมโยงตลาดภูมิภาคและข้ามพรมแดนภายใต้กรอบข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) โดยใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นเครื่องมือ แต่ผู้ประกอบการควรเลือกตลาดเป้าหมายอย่างมีกลยุทธ์ และสร้าง ‘คู่มือเข้าสู่ตลาดรายประเทศ’ (Country Playbook) ที่กำหนดราคา บรรจุภัณฑ์ ช่องทางสื่อ และกฎภาษีให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสินค้า คุณค่า และความโดดเด่นของตัวผู้ประกอบการเอง
ดร.ศุภสัณห์กล่าวอีกว่า กรอบทฤษฎีหนึ่งชิ้นที่ได้รับการยกย่องด้วยรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2025 คือผลงานของ โจเอล โมเคียร์ (Joel Mokyr) จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ซึ่งชี้ให้เห็นจากหลักฐานประวัติศาสตร์ว่า เทคโนโลยีจะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้จริงก็ต่อเมื่อสังคมนั้นมีพื้นฐานสามประการ ได้แก่ (1) องค์ความรู้และวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า (2) ความชำนาญเชิงเทคนิคของแรงงานและภาคธุรกิจ และ (3) สถาบันและกติกาที่เอื้อให้นวัตกรรมเกิดขึ้นและแพร่กระจายไปได้อย่างกว้างขวาง
“ดังนั้น นอกจากกรอบคิด PACE ที่มุ่งยกระดับสมรรถนะของผู้ประกอบการแล้ว ภาครัฐย่อมมีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ นั่นหมายถึงการที่รัฐต้องก้าวจาก ‘ผู้กำกับดูแล’ ไปสู่ ‘ผู้ออกแบบระบบนิเวศร่วม’ ที่สร้างการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เสริมขีดความสามารถของ SME และคุ้มครองผู้ประกอบการและผู้บริโภคอย่างสมดุล”
ดร.ศุภสัณห์แนะว่า รัฐควรรักษาความสมดุลระหว่างการกำกับดูแล (regulation) และการส่งเสริมอิสรภาพในการพัฒนาแพลตฟอร์ม (enablement) เพื่อให้ผู้ให้บริการสามารถสร้างนวัตกรรมและพัฒนาบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ศุภสัณห์แนะอีกว่า เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในระบบนิเวศแพลตฟอร์ม บทบาทการกำกับดูแลของภาครัฐควรประกอบด้วย 4 มิติหลักที่เรียกว่า LEAD ซึ่งสอดคล้องกับกรอบ PACE ของผู้ประกอบการ ประกอบด้วย
L – Linkage Creation (การเชื่อมโยงเพื่อความร่วมมือ) คือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่างๆ เช่น ภาครัฐ ธุรกิจ และแพลตฟอร์ม ซึ่งประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นแล้ว เช่น การมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่ยังสามารถต่อยอดได้ เช่น การกำหนดให้แพลตฟอร์มแจ้งผู้ขายล่วงหน้าเมื่อเปลี่ยนนโยบายที่ส่งผลต่อร้านค้า เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเป็นธรรมในระบบนิเวศแพลตฟอร์ม
E – Empowerment through Competence (การเสริมพลังให้ผู้ประกอบการ) คือ การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะของผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการการอบรม เครื่องมือ และแรงจูงใจทางภาษีให้เป็นระบบเดียวกัน เพื่อเสริมสมรรถนะด้านดิจิทัลและการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด ให้ SME สามารถตัดสินใจและสร้างนวัตกรรมได้ด้วยตนเอง
A – Adaptive Governance (การกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นและตอบสนองการเปลี่ยนแปลง) คือ การสร้างกติกาที่ยืดหยุ่นและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง ยกระดับจากการ ‘เปิดทางให้ขายได้’ เป็น ‘ช่วยให้ผู้ประกอบการยืนได้ในฐานะแบรนด์ของภูมิภาค’ ผ่านการยกระดับมาตรฐานสินค้า บรรจุภัณฑ์ และสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงข้อตกลงการค้าและสร้างภาพลักษณ์ ‘Thailand Trusted Source’ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในแบรนด์ไทย
D – Distributed Trust (ความไว้วางใจแบบกระจาย) คือ การสร้างความเชื่อมั่นด้วยกลไกที่กระจายศูนย์ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ครอบคลุมข้อมูล สินค้า และสิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มเพื่อตรวจจับสินค้าปลอมและละเมิดลิขสิทธิ์แบบเรียลไทม์ ส่งเสริมแรงจูงใจด้านสิ่งแวดล้อมผ่าน Eco-label Incentive และพัฒนา E-Trust Framework เพื่อรับรองแพลตฟอร์มที่โปร่งใสและปลอดภัย
ดร.กิตติพงษ์ สาครเสถียร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า บทเรียนจากทั้งภาคทฤษฎีและภาคสนามสะท้อนว่า ผู้ที่ยึดติดอดีตย่อมถูกแทนที่ด้วยผู้พร้อมเรียนรู้และปรับตัวเสมอ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องระวังเพื่อหลีกเลี่ยง 3 กับดักสำคัญ ได้แก่ ยอดขายพุ่งแต่กำไรหาย ทำทุกช่องทางจนไร้โฟกัส และลงทุนเทคโนโลยีแต่ไม่มีคนใช้จริง โดยต้องสร้างสมรรถนะ 4 ด้าน ทั้งการใช้ข้อมูลอย่างรู้เท่าทัน การสร้างคุณค่าที่แตกต่าง การสร้างคุณค่าของแบรนด์และฐานข้อมูลลูกค้า รวมถึงการขยายสู่ภูมิภาคอย่างมีกลยุทธ์
ดร.กิตติพงษ์ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้จะเกิดผลได้จริงก็ต่อเมื่อภาครัฐต่อยอดจากการกำกับดูแลที่มีอยู่เดิม เพื่อเชื่อมโยงและสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจในยุคดิจิทัลที่แข็งแรงและยืดหยุ่นได้อย่างยั่งยืน และแนวทางดังกล่าวยังช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้โดยตรงด้วย
“การขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 4 แนวทางจำเป็นต้องอาศัยการเติบโตร่วมกันอย่างเป็นระบบ (Co-evolutionary Growth) ระหว่างรัฐ เอกชน และแพลตฟอร์ม เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลอย่างยั่งยืน โดยบทบาทของรัฐ คือการสร้างกรอบนโยบายที่ชัดเจนแต่ยืดหยุ่น และเปิดกว้างให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายจากมุมมองด้านปัจจัยทางธุรกิจและคำนึงถึงผลกระทบของผู้ใช้งานปลายทางในระยะยาว
“บทบาทของเอกชน คือพัฒนาศักยภาพของคนและองค์กรให้พร้อมใช้เทคโนโลยีและข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มตลาด เพื่อให้รัฐและแพลตฟอร์มสามารถกำหนดทิศทางที่ตอบโจทย์สภาพเศรษฐกิจจริง รวมถึงสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจไทยและแพลตฟอร์ม
“ส่วนแพลตฟอร์มดิจิทัล มีหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ เปิดเครื่องมือ ข้อมูล และระบบสนับสนุนให้แก่ผู้ประกอบการ โดยยึดหลักธรรมาภิบาลข้อมูลที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการพัฒนาตนเอง ขยายศักยภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดโดยรวม หากทำได้ ประเทศไทยจะเปลี่ยนจาก ‘รัฐผู้อุดหนุน’ ไปสู่ ‘รัฐผู้สร้างสนามการเรียนรู้’ กล่าวคือ เราจะสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานประเทศแห่งการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยเวลาและความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วน เมื่อสำเร็จ อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยที่มีสัญญาณถดถอย จะพุ่งกลับขึ้นมาใกล้เบอร์ 1 ของอาเซียนอย่างสิงคโปร์ได้ในอนาคต” ดร.กิตติพงษ์กล่าวสรุป