ในเวลานี้ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีของพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกจับตามองมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากสังคมคาดเดาว่าเขา ผู้ซึ่งเป็น ‘เขยใหญ่’ ของทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อาจจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของพรรคเพื่อไทย
แม้ว่าเจ้าตัวจะตอบนักข่าวว่า “ยังไม่คิดเรื่องนี้” แต่ก็มีกระแสการคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆ ว่าชื่อนี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะความเป็น ‘คนใน’ ของชินวัตรที่มีโปรไฟล์ดี เมื่อพิจารณาทั้งประวัติการศึกษาและประสบการณ์การบริหารธุรกิจแล้วก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับต้นๆ ที่พรรคเพื่อไทยมีอยู่
ด้านภูมิธรรม เวชชยชัย แกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยก็แย้มๆ กับนักข่าวว่า หากกระแสสังคมเชียร์ณัฐพงศ์มากๆ ก็อาจจะไปขออนุญาตคุณหญิงพจมานและพินทองทา ให้ณัฐพงศ์มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยจริงๆ
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ จะเป็นผู้ถือธงนำพรรคเพื่อไทยลงสนามเลือกตั้งครั้งต่อไปจริงหรือไม่ ยังต้องติดตามต่อไป แต่ที่แน่ๆ เขาเป็น ‘เสาหลัก’ ของชินวัตรในฝั่งการบริหารธุรกิจ SC Asset มานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในตระกูลชินวัตร
ในโอกาสนี้ SPOTLIGHT ชวนดูก้าวย่างการเติบโต ความสำเร็จ และพัฒนาการด้านต่างๆ ของ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวชินวัตรภายใต้การบริหารของเขยชินวัตรนาม ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์
SC Asset ก่อตั้งใน พ.ศ. 2532 มีผลงานสำคัญคือ การลงทุนสร้างอาคารชินวัตร 3 ในปี 2538 แล้วเปิดดำเนินการในปี 2543
จากนั้นมีจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2546 คือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางธุรกิจ พร้อมเข้าลงทุนในกองทุนรวมแอสเสทเน็ตเวิร์ค และ 3 บริษัทย่อย ประกอบด้วย บริษัท โอเอไอ แอสเสท จำกัด, บริษัท อัพคันทรี่ แลนด์ จำกัด และบริษัท วี.แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชน โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในชื่อ ‘บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ ด้วยทุนจดทะเบียน 3,500 ล้านบาท
SC Asset วางตำแหน่งทางการตลาดในตลาดบ้านราคาสูง หรือระดับลักซ์ชัวรี โดยทำทั้งโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ซึ่งก็เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอันดับต้นๆ ของตลาด
ผลงานเด่นที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากที่สุดของ SC Asset คือ แบรนด์บ้านเดี่ยว ‘บางกอก บูเลอวาร์ด’ ที่มีราคาเริ่มต้น 8 ล้านบาท และแบรนด์นี้ถูกพัฒนายกระดับให้หรูขึ้นเป็นอีกแบรนด์ในชื่อ ‘แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด’ ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท
ในปี 2556 ในโอกาสครบรอบปีที่ 10 ของบริษัท SC Asset ได้ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ด้วยสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสโลแกนใหม่ “For Good Mornings” (ชีวิตที่ดี มาจากจุดเริ่มต้นที่ดี)
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สมรสกับพิณทองทา ชินวัตร ในเดือนธันวาคม 2554 แล้วเริ่มทำงานให้ SC Asset ในตำแหน่ง ‘กรรมการ’ และ ‘กรรมการบริหาร’ ในเดือนมีนาคม 2555 จากนั้นดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งก่อนจะก้าวขึ้นเป็น ‘ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร’ หรือ CEO ในปี 2558
ในปี 2558 ภายใต้การนำทัพของ CEO คนใหม่ SC Asset ประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ตั้งเป้าหมายทำรายได้ทะลุ 20,000 ล้านบาท ในปี 2562 โดยยุทธศาสตร์ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย คือ การขยายตลาดให้กว้างขึ้น
ขณะที่เป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาด (market share) ในตลาดบ้านราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป SC Asset ได้ขยายเข้าสู่ตลาดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ภายใต้แบรนด์ใหม่ คือ คอนโดมิเนียมหรู ‘ศาลาแดง วัน’ (ราคาเริ่มต้น 13 ล้านบาท) และโครงการบ้านเดี่ยว ‘กรานาดา ปิ่นเกล้า - เพชรเกษม’ (ราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท) ขณะเดียวกันก็รุกตลาดโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ด้วยโครงการ ‘เพฟ รังสิต’
แล้วปีนั้น SC Asset ก็ปิดปีแรกกับ CEO ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ด้วยรายได้ 14,184 ล้านบาท เติบโต 12% จากปี 2557 และมีกำไรสุทธิ 1,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปี 2557
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมามีการปรับลดเป้ารายได้ปี 2562 ลงเป็น 19,000 ล้านบาท และในที่สุด SC Asset ก็ปิดปี 2562 ด้วยรายได้รวม 17,787 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,025 ล้านบาท ถือว่ารายได้พลาดเป้าที่ตั้งไว้ประมาณ 6%
จากผู้เล่นเบอร์ต้นๆ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย SC Asset ได้ขยายพื้นที่แสวงหาโอกาสไปสู่น่านน้ำใหม่ นั่นคือ ‘อสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม’ โดยธุรกิจส่วนนี้อยู่ในการดำเนินงานของ บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด (SCX) บริษัทลูกที่จดทะเบียนด้วยทุน 500 ล้านบาท เมื่อปี 2562
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 SC Asset ประกาศการร่วมทุนระหว่าง SCX กับ โตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแถวหน้าจากญี่ปุ่น เพื่อทำธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า รองรับการเติบโตธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย นำร่องที่สองทำเลศักยภาพ คือ บางนา กม. 20 และแหลมฉบัง
ในคราวนั้น ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตอย่างยั่งยืนของ SC Asset ในทศวรรษที่ 3 (ปี 2567-2576) คือ สร้างคุณค่าสู่คนและสิ่งแวดล้อมบนหลากหลายธุรกิจ ความหลากหลายของธุรกิจจะช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างยืดหยุ่น ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวน
ณัฐพงศ์บอกว่า การลงทุนในธุรกิจคลังสินค้า-โรงงานเพื่อเช่า เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring income) ให้แก่ SC Asset เพราะธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงสนับสนุนจากการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย ทั้งนี้ SC Asset ตั้งเป้าหมายพัฒนาคลังสินค้า-โรงงานให้เช่ารวม 1 ล้านตารางเมตร ภายในเวลา 10 ปี
ต่อมา ในเดือนกันยายน 2567 SCX บริษัทเรือธงธุรกิจใหม่ในเครือ SC Asset ประกาศโร้ดแมปลงทุน 5 ปี (2568-2572) มูลค่า 20,000 ล้านบาท มุ่งยุทธศาสตร์การลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งภายในปี 2572 และตั้งเป้าให้ SCX สร้าง ‘กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย’ (EBITDA) เป็นสัดส่วนมากกว่า 25% ของ EBIDA รวมจากทุกกลุ่มธุรกิจ และมีมูลค่าสินทรัพย์ (Assets Portfolio) รวม 40,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ธุรกิจคลังสินค้า (SCX Logistics) ธุรกิจโรงแรม (SCX Hospitality) และธุรกิจอาคารสำนักงาน (SCX Working Solutions)
ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา SC Asset เผยผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปี 2568 ของ SCX ว่ามียอดเช่าแตะ 110,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 260% และจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 150,000 ตารางเมตร ภายในสิ้นปีนี้ตามแผนที่วางไว้
ผลการดำเนินงาน 5 ปีล่าสุดของ SC Asset ภายใต้การบริหารของณัฐพงศ์ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปี 2567 รายได้รวมและกำไรลดลง แต่มูลค่าสินทรัพย์รวมยังคงเพิ่มขึ้น
2567 รายได้รวม 20,995 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,706 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 67,258 ล้านบาท
2566 รายได้รวม 24,737 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,482 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 63,886 ล้านบาท
2565 รายได้รวม 21,740 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,556 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 57,401 ล้านบาท
2564 รายได้รวม 19,553 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,062 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 49,754 ล้านบาท
2563 รายได้รวม 19,051 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,898 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 44,319 ล้านบาท
ปี 2568 SC Asset เริ่มทศวรรษที่สองกับ CEO ณัฐพงศ์ โดยการเปิดตัว 15 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 29,000 ล้านบาท และได้รับการสนับสนุนวงเงิน 17,000 ล้านบาท จากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สำหรับพัฒนาโครงการต่อไป
ณัฐพงศ์ประกาศทิศทางธุรกิจปี 2568 ของ SC Asset ไว้ว่า ในปี 2567 SC Asset ปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับภูเขาอุปสรรค 3 ลูกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้แก่ หนี้ครัวเรือนสูง, อุปทานล้น, และความเชื่อมั่นต่ำ โดย SC Asset สามารถสะสมที่ดินทําเลคุณภาพรองรับการเติบโตไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีสภาพคล่องรองรับการเติบโตมากกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมทั้งมีพันธมิตรร่วมทุนที่แข็งแกร่ง
ในปี 2568 นี้ภูเขาอุปสรรค 3 ลูกยังคงอยู่ และเพิ่มเติมปัจจัยผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์ SC Asset จึงต้องปรับตัวต่ออย่างต่อเนื่อง ภายใต้คอนเซ็ปต์ #RethinkToReform เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดย Reform 3 เรื่อง ได้แก่
Reform 1: ปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อกระจายความเสี่ยง ประกอบด้วย Engine 1 – อสังหาฯที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ได้แก่ แนวราบและคอนโด, Engine 2 – อสังหาฯสร้างรายได้ประจํา ได้แก่ โรงแรม คลังสินค้า อาคารสํานักงาน และอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกา และ Engine 3 – ลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
Reform 2: ปรับโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม เน้นย้ำคุณภาพสูง นวัตกรรมตอบโจทย์ลูกค้า และเพิ่มความสามารถในการทํากําไร
Reform 3: ปรับโครงสร้างองค์กร เพิ่มความคล่องตัวรองรับการเติบโตของธุรกิจที่หลากหลาย และเพิ่มโอกาสเติบโตของพนักงาน
สำหรับเป้าหมายและแผนธุรกิจปี 2568 ของ SC Asset ณัฐพงศ์ประกาศไว้ ดังนี้
1. ธุรกิจฟื้นตัวแข็งแกร่ง เติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกําไร สภาพคล่องแข็งแกร่ง สัดส่วนหนี้ต่อทุนลดลงอย่างมีนัย
2. เป้าหมายยอดขาย 26,000 ล้านบาท (+4% YoY) และรายได้รวมจากทุกกลุ่มธุรกิจ 25,000 ล้านบาท (+11% YoY) ลงทุนต่อเนื่องด้วยงบลงทุน 7,000 ล้านบาท ในธุรกิจหลากหลาย รักษาตําแหน่งผู้นําบ้านเดี่ยว เพิ่มส่วนแบ่งตลาดคอนโดและสัดส่วนกําไรจากอสังหาฯรายได้ประจําสม่ำเสมอ
“ปี 2568 ที่ท้าทายนี้ SC จะปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจฟื้นแข็งแกร่ง กําไรเติบโต ลงทุนอย่างรอบคอบและกระจายความเสี่ยงในธุรกิจที่หลากหลาย รักษาความเชื่อมั่นของแบรนด์ผ่านมาตรฐานสินค้าคุณภาพสูงและบริการที่อบอุ่น และตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) รวมกันมากกว่า 100,000 ตันคาร์บอนในปี 2568-2573 เพื่ออนาคตของคนรุ่นต่อไป” CEO ณัฐพงศ์แห่ง SC Asset กล่าว
นอกจากนั้น ณัฐพงศ์กล่าวในงานสัมมนา KKP The Year Ahead 2025 ของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในหัวข้อ “Residential Market : Now or Never for Revival?” เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ว่า ในบริบทที่ผันผวน SC Asset เล็งเห็นว่า “ความแม่นยำไม่สำคัญเท่าความหลากหลาย” กล่าวคือ แนวทางการพัฒนาโครงการแบบโฟกัสเฉพาะตลาดที่ SC Asset เคยประสบความสำเร็จมาในยุคก่อนหน้านี้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปเป็นการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย เพื่อตอบความต้องการของผู้ซื้อให้ครบทุกกลุ่ม
...ซึ่งนั่นคือทิศทางที่ SC Asset กำลังมุ่งไป