ทหารเขมรเล่นสกปรก หยอดกาวใส่ทุ่นระเบิด พยายามปิดช่องเก็บกู้
หวิดขาขาด ทหารไทยเล่าให้คณะ AOT ฟังนาทีเหยียบทุ่นระเบิดกัมพูชา เคราะห์ดีระเบิดทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ซ้ำพบหยอดกาวไว้ที่ชนวนไม่ให้เก็บกู้ง่าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 2 นำคณะฑูตทหาร AOT นำโดย “พลจัตวา ซัมซุล ริซัล บิน มูซา” หัวหน้าทูตทหาร AOT ฝ่ายไทย จากประเทศมาเลเซีย , นาริซ ซาบลิ ทูตทหารจากประเทศบรูไน , อัลดิล มอลตาโวล์ ทูตทหารจากประเทศฟิลิปปินส์ และ พ.อ. ยุทธภูมิ สาตร์เงิน ผอ.กผค.ศสภ.ยก.ทหาร พร้อมคณะ ลงพื้นที่มาตรวจสอบ ทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทโดนตรวล และช่องเขาสัตตะโสม โดย พ.อ. ยุทธภูมิ สาตร์เงิน ผอ.กผค.ศสภ.ยก.ทหาร ได้มีการกางแผนที่เพื่อให้คณะทูตได้ ดูจุดที่ชัดเจน และเห็นภาพ พร้อมนำตัวอย่างทุ่นระเบิดที่มีการเก็บกู้มาแล้ว 4 ทุ่น รวมถึงทุนระเบิดที่ พลทหารเหยียบ แต่ระเบิดไม่สมบูรณ์ มาให้คณะ AOT ได้ดูประกอบ ซึ่งก็มีการอธิบายถึงพื้นที่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันที่ 20 ตุลาคม ทหารเหยียบทุ่นระเบิด แต่เคราะห์ดี ระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่มีผู้บาดเจ็บ
จากนั้นมีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมและพบกับทุ่นระเบิดอีก 3 ทุ่น จึงให้ทหารกองช่างเก็บกู้ โดยสภาพทั้งหมด เป็นลักษณะทุ่นระเบิดใหม่ แม้ว่าจะพบก่อนที่จะมีการลงนามในปฏิญญาสันติภาพ วันที่ 26 ตุลาคม แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาพยายามลอบเข้ามาในพื้นที่ของประเทศไทยและวางทุ่นระเบิด หวังที่จะทําร้ายทหารไทย ที่ต้องลาดตระเวนอยู่ในชายแดน ซึ่งในระหว่างบรรยายทางคณะทูต AOT ก็พยายามสอบถามประเด็นข้อสงสัย เรื่องของจุดที่เข้ามาวาง และห้วงเวลา เพื่อนําข้อมูล ไปประกอบรายละเอียดในเรื่องของการละเมิดข้อตกลง
หลังจากนั้นกองทัพภาคที่ 2 ได้นำคณะฑูต AOT เข้าไปดูภายในจุดที่พบเจอทุ่นระเบิด โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 45 นาที
ด้านพันตรี ผดุงเดช พ่อค้าช้าง รองผู้บังคับ กองพันทหารราบที่ 12 ระบุว่า ในวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตัวเองเป็นหนึ่งในชุดลาดตระเวนบริเวณใกล้เคียงกับช่องเขาสัตตะโสม ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวฝ่ายกัมพูชาวางกำลังใกล้เคียงกับฝ่ายไทย โดยมีระยะห่างใกล้สุดราว 75 - 300 เมตร ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นลักษณะ 3 เส้นทาง คือ เส้นทางที่ฝ่ายไทยใช้ลาดตระเวน เส้นทางที่ฝ่ายกัมพูชาใช้ลาดตระเวน และเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนร่วมกัน
ย้อนกลับไปก่อนวันที่ 20 ตุลาคม มีความผิดปกติเกิดขึ้นในพื้นที่ ทหารกัมพูชามายืนตะโกนด่าทหารไทยบริเวณแนวรั้วลวดหนาม กระทั่งวันที่ 20 ตุลาคม ชุดลาดตระเวนของทหารไทยออกลาดตระเวนรวม 7 นาย ซึ่งตัวเองคือหนึ่งในนั้น หลังจากที่เดินลาดตระเวนเรียบร้อย ระหว่างเดินกลับโดยใช้เส้นทางเดิมที่ใช้เป็นประจำ พอมาถึงใกล้เคียงสามแยก ที่เป็นลักษณะ 3 เส้นทาง คนที่เดินลาดตระเวนนำคนแรก เดินผ่านข้ามทุ่นระเบิดไป ส่วนคนที่ 2 เท้าซ้าย เหยียบทุ่นระเบิด ซึ่งขณะนั้นมีเสียงดังเกิดขึ้น พร้อมกับควันพวยพุ่ง และกลิ่นดินปืนฟุ้ง ทำให้มั่นใจว่าเหยียบทุ่นระเบิดแน่นอน ซึ่งน้องทหารที่เหยียบทุ่น ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่น่าจะตกใจ ช็อค และยืนนิ่งสนิทอยู่สักพัก ก่อนที่ทั้งหมดจะถอนกำลังกลับมายังฐานปฏิบัติการ พร้อมขอสนับสนุนหน่วยทหารช่างเพื่อเข้าทำการเคลียร์พื้นที่ และเก็บกู้ทุ่นระเบิด
ต่อมา ในวันที่ 21 ตุลาคม ทหารช่างเข้าสำรวจที่เกิดเหตุ เพื่อเคลียร์พื้นที่ ได้ตรวจพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ทุ่น ถัดมาอีก 50 เมตร ตรวจพบอีก 1 ทุ่น ที่ยังไม่ทำงาน รวมทุ่นที่ทหารเหยียบด้วย เป็นทั้งหมด 4 ทุ่น ในพื้นที่ ระยะห่างระหว่างทุ่นที่พบแต่ละทุ่นนั้น ห่างเพียง 1 ก้าว เท่านั้น
นั่นหมายความว่าหากพลาดลูกแรก ก็จะเจออีกลูกถัดไป หรือหากมีทหารหนึ่งนายที่เหยียบ ทหารนายอื่นหมอบลง ก็มีโอกาสที่จะถูกระเบิดเช่นกัน ซึ่งบริเวณเส้นทางที่ตรวจพบทุ่นระเบิดนั้น ฝ่ายไทยไม่ได้ทำการล้อมรั้วลวดหนามไว้ เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเกิดความขัดแย้งกัน เส้นทางดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายใช้ลาดตระเวนร่วมกัน หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาเป็นห่วงกำลังพล จึงให้งดลาดตระเวนบริเวณเส้นทางที่เกิดปัญหา ส่วนเส้นทางอื่นยังคงลาดตระเวนกันตามปกติ แต่แม้ว่าจะไม่ได้ลาดตระเวน แต่ยังคงมีทหารตรึงกำลังในพื้นที่เพื่อตรวจตราประจำตามจุด รวมถึงใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแทน
สำหรับวิธีการของฝ่ายกัมพูชา คือจะลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเส้นทางที่ทหารไทยใช้ลาดตระเวนเป็นประจำ โดยไม่ได้เป็นการวางเพื่อป้องกันตัวเอง เนื่องจากลักษณะการวางคือรุกล้ำเข้ามาในเขตของไทย อีกทั้งในขณะที่ทหารช่างเข้าทำการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยังตรวจพบอีกว่าดินขยายการระเบิด ที่ต้องเสียบเข้าไปบริเวณข้างทุ่น ฝ่ายกัมพูชาทำการหยอดกาวเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทหารไทยกู้ระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดทั้งหมดที่ตรวจพบ ถูกหยอดกาวไว้ทั้งหมด
ยืนยันว่าทุ่นระเบิดที่ตรวจพบ เป็นทุ่นระเบิดใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 ทุ่นระเบิดที่ตรวจพบส่วนใหญ่เป็นทุ่นระเบิดเก่า PMN-1 ตั้งแต่ยุคเขมรแดง ลักษณะสีน้ำตาล ส่วนทุ่นระเบิดที่ตรวจพบใหม่ เป็น PMN-2 สีเขียว เลขซีเรียลนัมเบอร์ชัดเจน แต่จะเป็นการลักลอบเข้ามาวางหลังจากที่มีการลงนามปฏิญญาสันติภาพหรือไม่นั้น พิสูจน์ได้ยาก เนื่องจากเราจะไม่ทราบวันวาง แต่จะทราบวันที่ตรวจพบ คาดการณ์ได้ว่า ฝั่งกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในช่วงเวลาที่ทหารไทยไม่ได้ออกลาดตระเวน
ส่วนในวันนี้คณะ AOT ที่ลงพื้นที่มายังฐานปฏิบัติการนั้น สนใจใน 2 ประเด็น คือ เรื่องรูปแบบการวางทุ่นระเบิด เพื่อดูเจตนารมย์ของผู้วาง ว่ารูปแบบการวางเป็นอย่างไร และความชัดเจนของการวางกำลัง ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่เกิดเรื่องทั้งหมด
Advertisement
