พล.อ.รังษี เผยการแลกเชลยศึกกับปราสาทตาควาย ไม่สมเหตุสมผล
พล.อ.รังษี เผยการแลกเชลยศึกกับปราสาทตาควาย ไม่สมเหตุสมผล ไม่ใช่หลักการทางทหาร ย้ำปราสาทตาควายเป็นของไทยอยู่แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ และอดีตผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แสดงความเห็นถึงกรณีที่ พล.อ.ณัฏฐพล นาคพาณิชย์ หรือ “บิ๊กเล็ก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงต่อสถานการณ์ปราสาทตาควาย
พล.อ.รังษี มองว่า การแลกเชลยศึกกับปราสาทตาควายนั้น ไม่มีเหตุไม่มีผล และ ไม่ใช่หลักการทางทหาร พร้อมย้ำว่าปราสาทตาควายเป็นของไทยอยู่แล้ว การจะแลกกับเชลยศึกที่จับได้ในการแพ้ศึกของเขมรจึงไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะการควบคุมเชลยศึกเป็นหน้าที่ของกองทัพ ซึ่งจะต้องสอบสวนและใช้ดุลยพินิจของกองทัพ การแลกเชลยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีเชลยของกันและกัน ไม่ใช่แลกกับปราสาทตาควาย
นอกจากนี้เหตุการณ์ในพื้นที่ปราสาทตาควายที่ผ่านมานั้น เกิดหลังคำสั่งหยุดยิงตอนเที่ยงคืนที่กัมพูชาไม่ปฏิบัติตาม ทำให้กำลังของเขมรขึ้นไปยึดเนิน 350 แต่สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ถือว่า เสียดินแดน เพราะไทยยังสามารถควบคุมและยึดคืนได้ภายใน 15 นาที ซึ่งปัญหาการหยุดยิงและการเจรจาที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่กัมพูชาเสียเปรียบจะมีการเรียกเจรจาทันที แม้ว่าไทยเหนือกว่าทั้งทางเศรษฐกิจและกำลังทหาร แต่กลับเสียเปรียบบนโต๊ะเจรจาเสมอ
พล.อ.รังษี กล่าวเพิ่มถึงข้อตกลงที่ทำภายใต้การเป็นพยานของสหรัฐฯ อเมริกาอย่างเช่น การลงนามสันติภาพที่ประเทศมาเลเซีย ทั้งหมดกลายเป็นข้อผูกมัดที่ทำให้ไทยห้ามเคลื่อนย้ายกำลังและจำกัดการตอบโต้ แต่กลับกันเขมรไม่เคยทำตามข้อตกลง และหากเขมรยังละเมิดซ้ำไทยก็สามารถฉีกข้อตกลงและกลับมาใช้วิธีผลักดันตามสิทธิ์อธิปไตยได้ การผลักดันนั้นไม่ใช่การรังแก แต่เป็นการปกป้องอธิปไตย
ทีมข่าวถามต่อว่า หากเขมรละเมิดข้อตกลง สหรัฐฯ จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการช่วยจัดการหรือไม่ พล.อ.รังษี มองว่า สหรัฐฯ อาจสนใจ เฉพาะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น แร่แรร์เอิร์ธ ข้อตกลงทางการค้า หรือการขายเครื่องบิน ไม่ได้สนใจผลประโยชน์ของไทยอย่างแท้จริง
ส่วนประเด็นในวันที่ 12 พ.ย. นี้ที่จะมีการปล่อยตัวเชลยศึกออกมา ก็ต้องชี้แจงให้คนไทยเข้าใจว่า ทำแล้วประชาชนได้ประโยชน์อะไร ซึ่งตนมองว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่ประชาชนจะได้รับ แต่ทั้งนี้ต้องฟังจากเสียงส่วนมากด้วย เพราะต่างคนต่างมุมมอง
ในกรณีความขัดแย้งไทย–กัมพูชาที่ดำเนินมากว่า 24 ปี จะจบได้ต้องใช้ความเด็ดขาด ซึ่งอยู่ที่ผู้นำของชาติว่าจะเลือกแนวทางใด และจะตัดสินใจอย่างไรในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ นอกจากนี้ตนยังมองว่าอนาคตหากใครเปิดด่านก็คงจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ถ้าเงื่อนไขไม่ตรงกับประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับ
Advertisement
