นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดีอีเอส กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่า ชาวบ้าน จ.สุรินทร์ แห่สแกนม่านตา เพื่อแลกรับเหรียญเป็นเงินคริปโต ครั้งละ 500-2,000 บาท และมีการตั้งบริษัทกระจายไปหลายจังหวัด ว่าตอนนี้กำลังให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตรวจสอบอยู่ เพราะเท่าที่ทราบมาเบื้องต้น เป็นการว่าจ้าง จากบริษัทมหาชนในเมืองไทย ร่วมมือกับบริษัทระดับโลก กระจายตัวอยู่ในจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีการรับสแกนม่านตาเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล
โดยตอนนี้กำลังตรวจสอบว่ามีความผิดด้านกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ อย่างไร แต่เท่าที่ตรวจสอบพบว่าเป็นการว่าจ้าง แบบไม่ให้เป็นเงินสดตอบแทน และให้เป็นเหรียญอิเล็กทรอนิกส์แทน
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หากเป็นเช่นนี้ ผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างอาจมีผลประโยชน์ต่อกันใช่หรือไม่ ด้านเลขาฯ กระทรวงดีอีเอส ระบุว่า ตอนนี้เข้าใจว่าผู้ที่รับจ้างได้รับผลตอบแทนเป็นโทเคน (Token) เข้าไปในระบบ Wallet ซึ่งกรณีนี้ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้มีข้อกังวลและสั่งการทางศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ให้ตรวจสอบว่าการสแกนม่านตาดังกล่าวมีการนำข้อมูลเอาไปใช้ทำอะไร และได้มีการพูดถึงในคณะกรรมาธิการแล้ว ซึ่งทางกระทรวงเอง ได้ติดต่อไปทางบริษัทผู้ว่าจ้างให้ส่งเอกสารยืนยัน การนำข้อมูลที่รวบรวมว่าไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร
เลขาฯ ดีอีเอส กล่าวต่อว่า ตอนนี้กำลังตรวจดูอย่างเข้มข้น หากการแสกนม่านตาเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้งานในระดับโลก ทางเราก็จะไม่ไปจำกัด แต่ถ้าเป็นการใช้เทคโนโลยีมาทำร้ายพี่น้องประชาชนหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เราระงับแน่นอน
ส่วนในอนาคตหากการเก็บข้อมูลตรงนี้ ถูกนำไปใช้กับ AI และมีผลกระทบกับประชาชน ตรงนี้จะมีมาตรการดูแลอย่างไรนั้น ทางกระทรวงดีอีเอสกำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น พร้อมยืนยันว่า ไม่เกินสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้าจะมีคำตอบในเรื่องนี้ออกมา และถ้าไม่มีคำตอบจากบริษัทผู้ว่าจ้างที่ชัดเจน เราก็จะระงับการดำเนินการของบริษัทดังกล่าวไว้ก่อน
Advertisement