ข้อมูลสำคัญขององค์กรมักตกอยู่ในความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่ระมัดระวัง การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นเรื่องที่พนักงานทุกคนควรให้ความสำคัญ
กองเทคโนโลยีดิจิทัล กรมประชาสัมพันธ์ ได้ระบุนิสัยเสี่ยงที่พบบ่อยในที่ทำงาน ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสำคัญขององค์กรตกอยู่ในอันตราย
นิสัยเสี่ยงโดนแฮกในที่ทำงาน
1.แปะรหัสผ่านไว้หน้าจอ
การจดรหัสผ่านบนกระดาษและติดไว้หน้าจอหรือโต๊ะทำงานถือเป็นความเสี่ยงสูง เพราะคนภายนอกหรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถเห็นและเข้าถึงระบบได้ง่าย
2.แชร์รหัสผ่านกับเพื่อนร่วมงาน
แม้จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไว้วางใจ การแชร์รหัสผ่านก็เพิ่มโอกาสให้ข้อมูลรั่วไหลได้ เพราะเราไม่สามารถควบคุมความปลอดภัยของผู้อื่นได้
3.คลิกลิงก์โดยไม่เช็ค URL
ลิงก์หลอกเป็นวิธีแฮกที่พบได้บ่อย การคลิกลิงก์โดยไม่ตรวจสอบ URL อาจทำให้เครื่องติดมัลแวร์ หรือข้อมูลสำคัญรั่วไหล
4.ใช้อีเมลองค์กรสมัครเว็บแปลก
การใช้อีเมลงานสมัครเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเปิดช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงบัญชีหรือข้อมูลขององค์กร
5.เสียบแฟลชไดร์ฟจากที่อื่นเข้าคอม
แฟลชไดร์ฟหรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลจากภายนอกอาจมีไวรัสหรือมัลแวร์ การเสียบเข้ากับเครื่ององค์กรโดยไม่ตรวจสอบถือเป็นความเสี่ยงสูง
ผลกระทบจากการถูกแฮก
• ข้อมูลสำคัญขององค์กร รั่วไหล สูญเสียทั้งฐานลูกค้า ข้อมูลภายใน และทรัพย์สินทางปัญญา
• เสียชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพันธมิตร
• ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระบบ การกู้คืนข้อมูล และปรับปรุงระบบความปลอดภัยที่อาจสูงทั้งในแง่เงินและเวลา
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยง
เพื่อให้ข้อมูลขององค์กรปลอดภัย ควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้
รหัสผ่านปลอดภัย : จัดทำและปฏิบัติตามนโยบายความปลอดภัยรหัสผ่าน (Password Policy) เช่น ต้องเปลี่ยนรหัสผ่านตามรอบ, ไม่ใช้รหัสซ้ำ, ไม่แชร์รหัสผ่าน
รู้ทันภัยไซเบอร์ : ฝึกอบรมพนักงานเรื่อง Security Awareness ให้เข้าใจภัยไซเบอร์ เช่น วิธีสังเกต phishing link, URL ปลอม
ยืนยันตัวตนหลายชั้น : ใช้ระบบการยืนยันตัวตนหลายชั้น (Multi-Factor Authentication, MFA) สำหรับการเข้าระบบสำคัญ
ระวังอุปกรณ์ภายนอก : ไม่ใช้แฟลชไดร์ฟหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอกที่ไม่เชื่อถือ เข้ากับเครื่องขององค์กร โดยไม่ตรวจสอบก่อน
ตรวจสอบและติดตาม : มีการตรวจสอบและมอนิเตอร์การเข้าถึงระบบ (Access Control) และทำ audit log อย่างสม่ำเสมอ
ที่มา : กองเทคโนโลยีดิจิทัล กรมประชาสัมพันธ์
Advertisement