วันนี้ (19 กันยายน 2568) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารศิรินธร โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้แสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ส่งความรักและเทิดทูนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ซึ่งมีคณะครู ศิษย์เก่า และนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา ร่วมฟังปาฐกถาพิเศษ กว่า 1,000 คน โดย พล.ท.บุญสินฯ กล่าวว่า “การเป็นคนดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ จะทำให้กลายเป็นคนที่น่าเกรงขาม ขอให้เยาวชนจำไว้ให้ดี ขอบคุณน้องๆ นักเรียน ที่ต้อนรับทหารสูงอายุอย่างตนเอง ลุงแม่ทัพพยายามเดินสายบอกเยาวชน น้องๆ นักเรียน นักศึกษา ว่า เราโชคดีแล้วที่เกิดเป็นคนไทย เพราะมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุกคน ลุงแม่ทัพสวมใส่ชุดทหารเก่าๆ นี้ แต่รู้สึกว่าภาคภูมิใจมาก เพราะที่แขนขวา มีอาร์มธงชาติไทยติดอยู่ ทำให้มีความรักชาติมากยิ่งกว่าชีพตัวเอง ทหารทุกคนที่สวมใส่ชุดทหารก็ไม่ต่างกัน ทหารหลายคนต้องต่อสู้กับข้าศึก จนสูญเสียแขน ขา และชีวิต ก็เพราะพวกเขาเหล่านั้น มีความรักชาติยิ่งกว่าชีพของตนเอง แม้จะเป็นห่วงครอบครัวที่อยู่ทัพหลังเพียงใด แต่ทหารเหล่านั้นเขารักและหวงแหนแผ่นดินที่เขาเกิดมากกว่าสิ่งใดๆ ในชีวิต เพราะถ้าไม่มีแผ่นดินไทย ชาติไทย ก็ไม่มีคนไทยก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่ ดังนั้นทหารต้องรักษาแผ่นดินไทยไว้ยิ่งชีพของตัวเอง ที่ผ่านมา ลุงแม่ทัพก็พยายามพูดสื่อสารกับคนไทยทุกคนอย่างชัดเจน ไม่มีน้ำผึ้งหวานเพื่อเอาใจใคร แต่ต้องพูดให้ชัดเจน จึงทำให้ทหารมีกำลังใจในการต่อสู้กับศัตรู ปกป้องแผ่นดินไทยได้อย่างเข้มแข็ง และขอสดุดีทหารกล้าวีรชนที่เสียสละชีพปกป้องแผ่นดินไทยไว้”
โดยหลังจากปาฐกถาเสร็จ ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนถามคำถาม ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ตอบคำถามนักเรียนอย่างเปิดใจ ซึ่งมีเยาวชนถามว่า “มีอะไรคลายเครียด ช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียดบ้าง” พล.ท.บุญสินฯ ตอบว่า “ยอมรับว่าลุงแม่ทัพ มีความเครียดเช่นกัน โดยเฉพาะทุกภารกิจ ทุกคำสั่งของแม่ทัพ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อประเทศชาติมาก เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ต้องรับผิดชอบทุกการตัดสินใจ อย่างช่วงปะทะ 4 คืน 5 วัน ลุงแม่ทัพขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เพราะทุกวินาทีหมายถึงชีวิตของทหารทุกคน สิ่งที่ลุงแม่ทัพนำมาใช้สำหรับคลายความเครียด คือการนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ โดยเฉพาะการปล่อยวางสิ่งที่รบกวนจิตใจและไปออกกำลังกาย เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรง เราต้องทำให้แข็งแรง ทั้งร่างกาย และจิตใจ เพราะช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ลุงแม่ทัพคิดอยู่เสมอว่า จะไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บป่วยเด็ดขาด กองทัพต้องมีแม่ทัพเป็นหัวเรือใหญ่ น้องๆ ก็เช่นกัน ต้องรักษาร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ เวลาเจออะไรที่ทำให้กระทบจิตใจ รู้สึกเสียใจ เสียใจได้ แต่อย่าเสียใจนาน ให้รู้จักปล่อยวางบ้าง แล้วไปออกกำลังกายให้แข็งแรงด้วย”
อีกคนถามว่า “ท่านแม่ทัพรู้สึกตัวเมื่อไหร่ว่า อยากเป็นทหาร” แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า “ลุงแม่ทัพเกิดมาในครอบครัวที่พ่อเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย ยศสิบเอก เห็นชุดตำรวจและปืนตำรวจ ชอบมาก ไปลูบไปคลำจนพ่อตี เพราะยังเด็ก ไม่อยากให้ไปยุ่งกับอาวุธปืน เมื่อเติบโตก็รู้สึกรักชาติขึ้นมา จึงได้ตัดสินใจเดินสู่เส้นทางทหารตั้งแต่นั้นมา ไปทำงานเป็นทหารพรานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เจอเหตุการณ์มากมาย ไม่คิดว่ามาในพื้นที่ภาคอีสาน จะได้มาปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติอย่างเข้มข้นเหมือนกัน”
อีกคำถามว่า “การที่ LGBTQ อยากจะรับชาติบ้าง พอมีวิธีไหนทำได้บ้าง” ตอบว่า “ประเทศไทยไม่เคยแบ่งแยก เชื่อชาติ ศาสนา และเพศ เราทุกคนไม่เคยเหยียดความต่าง จะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดี การเป็นทหารในกองทัพ น้องสามารถเป็นทหารได้ บางตำแหน่งสามารถเรียนในหลักสูตรที่ไม่ต้องมาถือปืนประจำการในแนวหน้า เช่น เป็นนักกฎหมาย เป็นคุณหมอ เป็นพยาบาล ซึ่งอาชีพเหล่านี้ การข้ามเพศเป็นได้หมด แต่การเป็นทหารอาจจะมีข้อจำกัดบางประการ ที่จะเป็นอุปสรรคสำหรับไปเป็นแนวหน้า เพราะไม่ปลอดภัยต่อชีวิตของน้องๆ เอง ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นแนวหน้าก็ได้ ถ้ารักชาติ มันอยู่ที่ใจของน้องๆ เอง”
และคำถาม “ถ้าท่านได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี จะมีนโยบายอะไร” แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า “แม่ทัพขอชื่นชมนายกรัฐมนตรีทุกคน เพราะทำดีที่สุดแล้ว บางคนอาจจะมีอะไรที่ต้องแก้ไข ซึ่งก็ต้องไปแก้ไขตามระบบ แต่ถ้าให้สมมติว่าจะให้ลุงแม่ทัพเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องไปทำความเข้าใจว่าหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีมีอะไร เช่น การสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทยในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งต้องมีวิสัยทัศนำประเทศชาติให้เดินหน้าเท่าทันโลกในอนาคต 10-20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย ภายใต้กรอบต้องซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกงกินบ้านเมือง ทุกปัญหาต้องได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน เข้าถึงพี่น้องประชาชนในหน้าที่ที่ควรจะเป็น ดูเหมือนไม่ยากถ้าคิดเพื่อส่วนรวมของคนไทยก่อนเป็นลำดับแรก ตนมั่นใจว่า ถ้าทำได้จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีของไทย เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกได้อย่างแน่นอน
ถามว่า “การตัดสินใจที่ยากที่สุด” แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า “ความยากที่สุด ก็คือการตัดสินใจที่มีผลต่อประเทศชาติ ความรู้สึกของคนไทย และชีวิตของลูกน้อง โดยเฉพาะการตัดสินใจปิดปราสาทตาเมือนธม เพราะการตัดสินใจครั้งนั้นจะต้องมีการยิงกันแน่นอน แต่ตนเองพิจารณาถ้วนถี่แล้วว่า เรามีความพร้อม จึงตัดสินใจทำลงไป”
Advertisement