ตามที่ปรากฏข่าวกรณีครูเล่าถึงเหตุการณ์ที่นักเรียนชายวัย 13 ปี ซึ่งศึกษาอยู่ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำรถเข้าไปจับตัวในโรงเรียน ด้วยข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและพำนักอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเตรียมส่งตัวกลับไปยังประเทศกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่เด็กได้รับการกำหนดรหัสประจำตัวนักเรียนรหัส G ซึ่งเป็นรหัสที่กำหนดให้แก่เด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาของไทยได้
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอเน้นย้ำว่าอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม มีหลักการสำคัญระบุให้การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันทางสังคม หรือองค์กรใด ผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก และรัฐภาคีต้องยอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษาบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน
กสม. เห็นว่า กรณีการจับกุมเด็กนักเรียนชายรายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักสิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องด้วยเป็นการจับกุมที่ไม่มีหมายจับ ไม่มีเหตุแห่งการกระทำความผิดซึ่งหน้า เด็กมีสถานะเป็นเพียงผู้ติดตามมารดาเข้าเมืองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและไม่มีเจตนาหลบหนี อีกทั้งการเข้าไปจับกุมเด็กในพื้นที่โรงเรียนอาจสร้างบาดแผลทางจิตใจให้แก่เด็กได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น การส่งตัวกลับประเทศต้นทางในทันทีอาจทำให้เด็กนักเรียนชายรายดังกล่าวซึ่งไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาประเทศบ้านเกิดได้ เสียสิทธิ ขาดโอกาสและความต่อเนื่องในการได้รับการศึกษาโดยสิ้นเชิง
จากกรณีข้างต้น กสม. จึงขอเน้นย้ำหลักการสิทธิเด็กด้วยความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ขอให้การดำเนินการใด ๆ ของทุกฝ่ายคำนึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง โดยไม่ควรมีกรณีการจับกุมเด็กต่างชาติในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กสม. ขอให้สังคมร่วมกันยุติการสร้างความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติในทุกรูปแบบเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมที่พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างสันติ
Advertisement