(16 ก.ค. 2568) นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวกับสื่อมวลชนภายหลังการมอบนโยบายให้กับสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติว่าวันนี้ตนได้มาเยี่ยมสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อมารับฟังการบรรยายสรุปภารกิจ งานตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเพราะวันนี้เป็นวิกฤตของพระพุทธศาสนา และเป็นที่ทราบกันดีตามที่มีข่าวออกมา และสำนักพุทธศาสนาก็ต้องไปเร่งดำเนินการแก้ไขวิกฤตศรัทธา เพื่อเรียกศรัทธาของสำนักพระพุทธศาสนาคืนจากประชาชน
นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับวัดและเจ้าอาวาส ที่เรายังไม่มีมาตรการควบคุม คือเรื่องของทรัพย์สินและเรื่องสีกา เพราะเมื่อมีทรัพย์สินเงินทองแล้ว ก็จะมีเรื่องของสีกาเข้ามา และเกิดขบวนการหลอกเงินวัด ที่มาในรูปแบบของสีกา หรือหลอกให้ทำสิ่งต่างๆ วันนี้ตนได้กำชับ โดยเฉพาะผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดทั่วประเทศ ต้องทำงานเชิงรุก เพราะตอนนี้ประชาชนได้ถามมาว่ามีบางวัดเจ้าอาวาสประพฤติมิชอบ ชาวบ้านรู้แต่ทำไมสำนักพุทธฯถึงไม่รู้ ได้คาดโทษไว้ว่า ในจังหวัดใดมีเหตุการณ์ ที่ไม่สามารถควบคุมความประพฤติ ของพระภิกษุสงฆ์ให้อยู่ใน พระธรรมวินัย ประพฤติปฏิบัติชอบที่ดีได้และ มีความประพฤติฉาวโฉ่จนถึงขั้นปาราชิก คงจะต้องมีการกล่าวโทษหรือให้คะแนนกันว่ามีความสามารถหรือหย่อนประสิทธิภาพ ละเว้นหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
นายสุชาติ กล่าวว่านอกจากนี้ตนยังได้มอบนโยบายเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินของวัด ขอให้มีความโปร่งใส โดยนำระบบ Big data เข้ามาควบคุมทรัพย์สินของวัดแลพเจ้าอาวาส ทำบัญชี ของพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปแล้วเปิดเผยให้กับสาธารณชนได้รับรู้ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรมีทรัพย์สินเท่าไหร่ รวมถึงการจัดการทรัพย์สินของวัดต้องเป็นในรูปแบบของคณะกรรมการ โดยเฉพาะ สาธารณสมบัติกลาง ให้ประชาชนรับรู้ด้วยต้องให้ประชาชนรับรู้ด้วย อย่างเช่นพื้นที่ประตูน้ำเฉลิมโลก เอเชียทีค เพราะประชาชนอยากจะรู้ว่ามีการหาผลประโยชน์ลับหลังหรือไม่ จะได้ช่วยกันตรวจสอบ แล้วจะต้องปฏิบัติตามกฎของกระทรวงคือวัดจะต้องมีเงินสดไม่เกิน 100,000 บาท โดยให้รายงานบัญชีมายังสำนักพุทธฯทุกปี ซึ่งตนเห็นว่าควรจะมีการรายงานทุกเดือนด้วยซ้ำไป จึงจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมหาเถรสมาคม
พร้อมย้ำว่าขอให้ สำนักงานพระพุทธศาสนา ทำงานเชิงรุก ประสานงานไปยังกำนันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีต่อไปเนื่องจาก เพราะเราไม่มีอำนาจจับกุมแต่เรามีอำนาจหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองส่งเสริมพระพุทธศาสนา
ส่วนการตั้งเป้าเรื่อง การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของวัดจะต้องแล้วเสร็จเมื่อไหร่ นั้น นายสุชาติ กล่าวว่า มีประกาศออกมาแล้ว เรื่องบัญชีเงินฝาก ตอนนี้กำลังทำให้ทุกวัดเริ่มปฏิบัติตาม โดยห้ามถือเงินสดเกิน 100,000 บาท โดยจะให้ทางสำนักพุทธฯเข้าไปตรวจสอบ 1 ตุลาคมนี้ยังไม่เข้าไปดำเนินการ ก็จะถือว่าผิดพระธรรมวินัย ต้องมีการลงโทษตามวินัยสงฆ์
ส่วนจะมีมาตรการอื่นหรือไม่ ที่จะมาดูแลและกู้วิกฤตศรัทธาคืนจากประชาชน นายสุชาติกล่าวว่า ทุกวันนี้พระทำผิด เสพเมถุน สีกาทำผิด ไม่มีบทลงโทษ ตนจึงให้นโยบายไปว่า ให้แก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.สงฆ์ ปี พ.ศ. 2505 เพิ่มบทลงโทษ กับผู้ที่กระทำผิด เช่นการแต่งกายเลียนแบบพระ การอวดอุตริมนุสธรรม การอ้างเป็นเทพหรือติดต่อเทพต่างๆได้ โดยเฉพาะพวกที่เสพเมถุน จะต้องมีการลงโทษทั้งสีกาและพระ โดยจะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อนำเข้าสู่การทำประชาพิจารณ์ เสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาและนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้เห็นชอบหลักการ ซึ่งโทษของการเสพเมถุนจะมีทั้งการจำคุกและโทษปรับ อาจจะต้องจำคุก 1-7 ปี ปรับตั้งแต่หลายหมื่นบาทถึงหลักแสน และนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และหากสส.เห็นว่าโทษอย่างน้อยเกินไป ก็อาจจะมีการปรับปรุงแก้ไขอีกได้
ส่วนกรณีที่มีบางหน่วยงานออกมาระบุว่าการทำงานร่วมกับสำนักพระพุทธฯ เหมือนจะเละเทะไปเรื่อยๆ จะสามารถจี้ให้สำนักพุทธฯทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า อย่าเพิ่งกล่าวโทษสำนักพุทธว่าเละเทะ แค่ตอนนี้อาจจะหย่อนยานไปหน่อยวันนี้ตนก็ได้มาให้นโยบายแล้ว ต่อไปต้องทำงานเชิงรุก ให้เวลา 2-3 เดือนแล้วค่อยมาวัด มาดูผลงานและ KPI กันใหม่ แต่หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ไม่ปฏิบัติมีความหย่อนก็แสดงว่าไม่ปฏิบัติตามนโยบายและมีความหย่อนยาน
เมื่อถามว่าสำนักพุทธฯมีการขอให้ ช่วยเหลืออะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เพราะการดำเนินการกับพระชั้นผู้ใหญ่ อาจจะมีปัญหาติดขัด นายสุชาติกล่าวว่า ทุกอย่างทำตามกฎหมาย และต้องปรึกษามหาเถรสมาคม เราทำได้เท่าที่ทำได้ โดยขอให้เกิดการทำงานและบูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงาน ทั้งกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะนี้เกิดจากที่บางวัดไม่มีไวยาวัจกร จะมีการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่าขณะนี้ยังมีจุดที่มีปัญหาอยู่ เพราะไวยาวัจกร เป็นคนที่ช่วย ดูแลทรัพย์สินของวัดให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ตอนนี้สำนักพุทธฯ กำลังจะนำไวยาวัจกรมาขึ้นทะเบียน เพราะไม่มีข้อมูลว่าแต่ละวัด ไวยาวัจกรเป็นใคร คุณสมบัติถูกต้องตามข้อกำหนดหรือไม่ แล้วต่อไปอาจจะมีการพัฒนาคล้ายกับรูปแบบอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.ที่มีเงินตอบแทน ซึ่งต้องพัฒนาทักษะและกำหนดคุณสมบัติ มีความรู้ในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด
ส่วนการคัดเลือกไวยาวัจกรจะต้องมีการคัดเลือกอย่างไรเพราะที่ผ่านมาก็มีการสมรู้ร่วมคิดกับพระสงฆ์ในการทุจริต นายอินทพร กล่าวว่า ปัจจุบันในแต่ละวัดมีการจัดตั้งไวยาวัจกร โดยไม่ถูกกฎของมหาเถรสมาคม ที่จะต้องมีการเสนอไปยังเจ้าคณะอำเภอเพื่อให้ความเห็นชอบ และจากการสำรวจปัจจุบันบางวัดก็ยังไม่ได้มีการตั้งไวยาวัจกร
จากนั้นนายสุชาติได้กล่าวว่า ถือโอกาสนี้ให้นโยบายสำนักพุทธฯในการจัดการไวยาวัจกรให้จบ รวมถึงเน้นย้ำเรื่องการจัดทำวัตถุมงคล ที่บางแห่ง พบว่าการทำวัตถุมงคลเป็นแหล่งฟอกเงิน พวกที่ค้ายาเสพติดและพนันออนไลน์ ก็ทำวัตถุมงคลขาย ซึ่งได้มอบนโยบายให้ไปปรึกษามหาเถรสมาคม ว่าต่อไปการจัดทำวัตถุมงคลจำเป็นจะต้องจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหรือไม่ เพื่อพิจารณาว่าควรอนุญาตหรือไม่อนุญาต ไม่เช่นนั้นก็จะเกลื่อนไปหมด เดี๋ยวอาจอีกหน่อยอาจจะมีรูปหลวงพ่อสุชาติเกิดขึ้นมันไม่ได้
นอกจากนี้นายสุชาติยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้เกิดวิกฤต การศรัทธาศาสนาขอให้สื่อมวลชนลงข่าวในทางบวก ตนและสำนักพุทธฯในฐานะกำกับดูแลก็จะจัดทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เรียกศรัทธาจากประชาชนคืนมา ให้พระพุทธศาสนาอยู่คู่บ้านคู่เมืองตลอดไป เหมือนกับที่ตนได้ตอบคำถามกับวุฒิสภา ว่าอย่านำการกระทำของพระสงฆ์ มาเป็นตัวทำลายพระพุทธศาสนา เพราะในคนหมู่มากก็จะมีทั้งคนดีและคนไม่ดี พระสงฆ์ไม่ใช่พระพุทธศาสนาเป็นแค่ส่วนหนึ่งเป็นสาวก อย่างที่เราไปทำบุญตามวัดเราเชื่อในพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้า
Advertisement