วันที่ 22 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ถึงแม้ว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่2 สั่งให้มีการปิดด่านจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู ตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ โดยไม่มีกำหนด ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีแต่เพียงความรู้สึกของชาวบ้านที่ยังอึมครึม โดยได้มีการจัดเตรียมสัมภาระข้าวของเครื่องใช้จำเป็นหากทางการมีการสั่งให้มีการอพยพ
นางเสราะ หนูประโคน อายุ 70 ปี ชาวบ้านโคกกระชายหมู่ที่ 10 ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า การใช้ชีวิตตอนนี้ถือว่าไม่ค่อยปกติ เพราะต้องคอยรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวความตึงเครียดแนวชายแดน โดยเฉพาะคอยฟังจากทางการว่า จะมีการสั่งให้มีการอพยพในตอนไหน ยอมรับว่าตนเองเครียดเพราะเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องไปโรงเรียนหากมีการปะทะกัน
สิ่งที่ยังอึมครึมและยังคาอยู่ในใจเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของผู้นำประเทศกัมพูชา ที่มักจะดูถูกประเทศไทย และคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง
“ยอมรับว่าอึดอัดใจอยากจะให้รัฐบาลหรือทหารทำอะไรก็ได้ที่แสดงถึงความชัดเจนของความเป็นไทย ไม่อยากให้ทางกัมพูชาเขาออกมาดูถูกอีกหรือจะมีการรบกันเกิดขึ้นตนเองก็พร้อมที่จะอพยพไปตามสถานที่ของทางการเตรียมไว้เพรามีประสบการณ์ของปี2554อยู่เนื่องจากมีจรวดตกลงในหมู่บ้านเกือบ 40 ลูก”
ด้านนายสราวุธ มโนวิสทธ์ ผอ.โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง2 อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนในตอนนี้ยังถือว่าไม่แน่นอน จะมีการประทะหรือไม่ก็ยังไม่มีใครมายืนยันได้ ถึงแม้ประชาชนที่อาศัยอยู่แนวชายแดน จะคุ้นเคยกับเสียงระเบิด และหลุมหลบภัยมานาน สิ่งที่ตนเป็นห่วงในขณะนี้ คือหลุมหลบภัยของโรงเรียนเริ่มทรุดโทรม เพราะเป็นหลุมเก่าแก่มานานกว่า 40 ปีอยากให้มีการปรับปรุงให้มีความแข็งแรงมากกว่านี้
โดยจากรายงานของศูนย์ส่งเสริมการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาด้านจังหวัดบุรีรัมย์สำนักงานพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ในช่วงปีพ.ศ.2560–พฤศจิกายน2567 จุดผ่านแดนถาวรช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวดจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นประตูสำคัญของการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา
โดยข้อมูลจากหน่วยงานราชการระบุชัดว่าตลอดระยะเวลา 7 ปีดังกล่าวประเทศไทยมีสถานะ “ได้เปรียบดุลการค้า” ทุกปีโดยไม่มีข้อยกเว้นซึ่งในเชิงตัวเลขปีที่มีมูลค่าการค้ารวมสูงที่สุดคือพ.ศ.2560 อยู่ที่ 189.8 ล้านบาท และมีดุลการค้าเกินดุลที่ 96.9 ล้านบาท ส่วนปีที่มูลค่ารวมต่ำที่สุดคือพ.ศ.2563 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตโควิด-19 แต่ไทยก็ยังคงได้เปรียบดุลการค้าอยู่ที่ 6.7 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างการส่งออกในพื้นที่แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว
สำหรับรายการสินค้าส่งออกของไทยที่เป็นที่ต้องการในกัมพูชาได้แก่น้ำมันเบนซินปูนซีเมนต์อาหารสดเช่นเนื้อหมูเนื้อไก่อาหารแห้งน้ำดื่มเครื่องปรุงรสและเสื้อผ้าซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและจำเป็นในชีวิตประจำวัน
ในขณะที่สินค้าที่ไทยนำเข้าจากฝั่งกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าตามฤดูกาลเช่นบุหรี่ เบียร์ สุรา กบ เขียด อึ่ง ผักป่า และอุปกรณ์เดินป่า ซึ่งมีมูลค่ารวมต่อปีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับฝั่งส่งออก
โดยดุลการค้าในแต่ละปีมีรายละเอียดดังนี้
‐ปี2560เกินดุล96.9ล้านบาท
‐ปี2561เกินดุล92.5ล้านบาท
‐ปี2562เกินดุล49.8ล้านบาท
‐ปี2563เกินดุล6.7ล้านบาท
‐ปี2565เกินดุล17.2ล้านบาท
‐ปี2566เกินดุล54.6ล้านบาท
‐ปี2567(ม.ค.–พ.ย.)เกินดุลแล้ว39.9ล้านบาท
ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนให้เห็นว่าจุดผ่านแดนช่องสายตะกูมิ ใช่เพียงเส้นทางเชื่อมโยงไทย-กัมพูชาในเชิงกายภาพ แต่ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจที่ประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์มีความได้เปรียบในระดับโครงสร้าง
ท่ามกลางบริบทการเมือง และวาทกรรมในโลกออนไลน์ที่อาจสร้างความสับสนการพิจารณาข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญยิ่งเพื่อยืนยันสถานะและศักยภาพของจังหวัดบุรีรัมย์
Advertisement