วันที่ 21 ก.ย.2568 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่างถึงกรณีสำนักงานเลขาธิการว่าด้วยกิจการชายแดนกัมพูชา แถลงการณ์เมื่อ 21 ก.ย. 68 ว่า “พบการเผยแพร่ข้อมูลผ่านบัญชี Facebook Page ชื่อ “Royal Thai Army: Update” เมื่อ 19 กันยายน 2568 โดยใช้แผนผังที่แสดงลักษณะภูมิศาสตร์และตำแหน่งหลักเขตแดน ซึ่งเป็นบันทึกการประชุมลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2017 (พ.ศ. 2560) และภาคผนวกของบันทึกการประชุมลงวันที่ 28 ธันวาคม 2016 (พ.ศ. 2559) ของคณะกรรมการรังวัดร่วมกัมพูชา–ไทย
ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจหาตำแหน่งที่แท้จริงของหลักเขตแดนหมายเลข 42 และหมายเลข 43 ในพื้นที่หมู่บ้านไปรจัน โดยมีการบิดเบือนให้เข้าใจผิดไปว่า คณะผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการว่าด้วยกิจการพรมแดน (ฯพณฯ ลาย เซียงลี) ได้ลงนามยอมรับเส้นเขตแดนอย่างเป็นทางการในพื้นที่หมู่บ้านไปรจัน ซึ่งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนหมายเลข 42 และหมายเลข 43
โดยกล่าวว่า เอกสารดังกล่าวที่เป็นเพียงแบบร่างแสดงลักษณะภูมิศาสตร์และตำแหน่งพิกัดหลักเขตแดนของบันทึกฯ และภาคผนวกจากการประชุมในอดีต เพื่อสำรวจหาตำแหน่งที่แท้จริงของหลักเขตแดนหมายเลข 42 และหมายเลข 43 ที่ปักไว้ในสมัยฝรั่งเศสเท่านั้น มิใช่แผนที่หรือเอกสารที่ใช้ยืนยันเส้นเขตแดนแต่อย่างใด โดยการนำแบบร่างฯ ในข้างต้นมาวาดเส้นปลอมแปลงเป็นเส้นเขตแดนบนแผนที่ เพื่อจงใจบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นเส้นเขตแดนจริง ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงเส้นปลอมที่ถูกสร้างขึ้นเอง
อีกทั้งที่กล่าวถึงพื้นที่บ้านไปรจัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดน 42 และ 43 เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนในพื้นที่จริง และจะต้องได้รับการแก้ไขโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วม (JBC) กัมพูชา–ไทย
ต่อกรณีดังกล่าว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงว่า “จากการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวพบว่า เป็นข้อมูลจากเอกสารบันทึกผลการสำรวจร่วมไทย–กัมพูชา ในการค้นหาสภาพและที่ตั้งของหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 เอกสารลงนามโดย พันเอก ชาคร บุญภักดี ผู้อำนวยการกองแผนและโครงการ กรมแผนที่ทหาร (ฝ่ายไทย) และ นายลาย เซียงลี ผู้อำนวยการกองเทคนิคและการสำรวจฯ (ฝ่ายกัมพูชา) โดยบันทึกฉบับนี้จัดทำขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 มีทั้งฉบับภาษาไทย กัมพูชา และภาษาอังกฤษ เป็นเอกสารที่บันทึกขั้นตอนการค้นหาที่ตั้งที่ถูกต้องของหลักเขตแดนในภูมิประเทศ
ซึ่งหากดูจากเอกสารบันทึกประชุมฯ ดังกล่าวใน Facebook Page ชื่อ “Royal Thai Army: Update” แล้วนั้นพบว่า โดยเนื้อหาหลักๆ จะเป็นเพียงการนำพิกัดหลักเขตแดนที่ได้ในเอกสาร ไปทำภาพจำลองเส้นเขตแดนบนแผนที่แบบไม่เป็นทางการ เพื่อความเข้าใจในเบื้องต้น ด้วยการลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างจุดพิกัดต่างๆ ที่ได้มา ให้ปรากฏเห็นเป็นเส้นจำลองให้เห็นเป็นภาพคร่าวๆ พอเป็นสังเขป ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อทราบพิกัดตำแหน่งทางภูมิศาสตร์แล้ว ก็จะสามารถพล็อตพิกัดลงบนแผนที่ที่มีในท้องตลาดทั่วไปได้ จากพิกัดหนึ่งไปยังพิกัดหนึ่ง ก็จะสามารถมองเห็นภาพเส้นจำลอง หรืออาจเป็นเส้นสมมติที่เกิดขึ้นมาได้บนแผนที่ จึงไม่ใช่เรื่องบิดเบือนอะไรอย่างที่กล่าวหา
อีกทั้งข้อมูลในเพจไม่ได้มีระบุยืนยันเป็นเส้นเขตแดน เพราะในระบบที่เป็นทางการ เรื่องเส้นเขตแดนนั้นจะอยู่ในกลไกของคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย–กัมพูชา (JBC)
แต่สิ่งสำคัญที่ได้จากการดำเนินการสำรวจหลักเขตในอดีตที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่แสดงได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายไทยได้ยึดหลักการทำงานตามกรอบของ JBC และข้อตกลง MOU 2000 เสมอมา แม้ว่าขั้นตอนในการสำรวจหลักเขตตาม TOR ปี พ.ศ. 2546 ของ JBC จะยังไม่สมบูรณ์ทุกขั้นตอน แต่พิกัดหลักเขตที่ 42 และ 43 รวมถึงหลักเขตอื่น ๆ ตามบันทึกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับนั้น สามารถใช้เฉพาะพิกัดตำแหน่งที่ได้ไปอ้างอิงใช้ประกอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ในเบื้องต้น
จากที่กัมพูชากล่าวว่า “พื้นที่บ้านไปรจัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนเลขที่ 42 และ 43 เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนในพื้นที่จริง” นั้น คำถามคือ แล้วประชาชนกัมพูชาเข้าไปรุกล้ำดินแดนของประเทศไทยไปไกลลึกขนาดนั้นได้อย่างไร จึงยิ่งชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลง MOU 2000 มาตลอดที่ผ่านมา เพราะในข้อตกลงฯ ระบุไม่ให้มีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ในบริเวณที่ยังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนได้ ด้วยการขยายพื้นที่ชุมชนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ และรุกล้ำขยายจนออกนอกพื้นที่อ้างสิทธิ์เข้ามาในเขตไทย ตามที่ฝ่ายไทยได้ประท้วงและเรียกร้องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถตรวจสอบจากภาพถ่ายทางอากาศได้อย่างชัดเจน”
โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ฝ่ายไทยปฏิบัติตามกลไก JBC และ MOU 2000 มาโดยตลอด จึงไม่จำเป็นที่ฝ่ายกัมพูชาจะออกมาเรียกร้องให้ไทยดำเนินการในเรื่องนี้ สิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาควรแก้ไขคือ หยุดขยายชุมชนรุกล้ำดินแดนไทยซึ่งถือเป็นการละเมิด MOU 2000 และแจ้งให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเขตไทยย้ายออกนอกพื้นที่ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วได้ประกาศไว้ เหมาะสมกว่าที่จะมาสร้างเรื่องบิดเบือนความจริง รวมถึงการปลุกระดมจัดฉากให้เด็ก ผู้หญิง และพระสงฆ์ออกมาประท้วงรับหน้าแทน ส่งผลให้ความขัดแย้งร้าวลึกขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ จึงเป็นฝ่ายกัมพูชาที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
Advertisement