วันที่ 21 ก.ย.2568 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน มีข่าวว่าคนไทยนับ 100 คนได้รับการช่วยเหลือโดยเจ้าหน้าที่ของไทย โดยร่วมกับหลายประเทศ และไปพบว่ามีการกักขังหน่วงเหนี่ยว ค้ามนุษย์คนไทยไปทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งประเทศกัมพูชาที่บริเวณตรงจุดทมอดาซิตี้ ซึ่งมีการเรียกกันว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีบุคคลสำคัญที่ดำเนินการ ‘ทมอดาซิตี้’ คือ ‘ออกญาตรีเพียบ’ ซึ่งเป็นนักธุรกิจผู้ใกล้ชิดกับผู้นำกัมพูชา
ซึ่งตัวออกญาตรีเพียบเอง ก็ขึ้นชื่ออยู่ในแบล็คลิสต์ของสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับบริษัท MDS Heng He Investment ซึ่งมีออกญาตรีเพียบเป็นประธาน โดยเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างศูนย์การหลอกลวงดิจิตอลในฝั่งกัมพูชา และเขาถูกสหรัฐอเมริกา จับตามองว่าเป็นผู้ทุจริตคอรัปชั่นค้าไม้เถื่อนไปยังเวียดนาม จีนและยุโรป โดยมีการจ่ายส่วยจนกลายเป็นผู้มีอิทธิพล แสดงว่า ออกญาตรีเพียบ เป็นผู้มีอิทธิพลทั้งฝั่งกัมพูชาและไทยและมีคอนเน็คชั่นเยอะ
ซึ่งสำหรับหุ้นส่วนของคาสิโนที่ทมอดานั้น ตัวของออกญาตรีเพียบได้รับทุนสนับสนุนจาก ‘ซูเหลียงเซย’ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของเฮงฮีกรุ๊ป กับเฮงฮี Investment ซึ่ง เป็นกลุ่มของจีนที่มาลงทุนในกัมพูชาโดยเป็นกลุ่มธุรกิจสีเทาที่อยู่ในแบล็คลิสต์ของสหรัฐฯ และอีกส่วนหนึ่งคือได้รับทุนจากกลุ่มทุนของไทยที่ยังไม่มีการเปิดเผย ต้องเป็นคนที่มีอำนาจไม่ใช่เพียงแค่ระดับท้องถิ่น
สำหรับ ‘ทมอดาซิตี้’ มีการสร้างในพื้นที่กัมพูชาแต่ติดกับฝั่งไทย ที่สำคัญ คือ ฝ่ายของประเทศไทยก็มีการประชุม และมีการสร้างถนน 4 เลนมุ่งตรงไปยังกาสิโน โดยมีการประกาศว่าจะใช้ด่านท่าเส้นเป็นด่านถาวร เพื่อเข้าไปสนับสนุน “ทมอดาซิตี้” ซึ่งจะมีทั้ง กาสิโน การพนัน แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์ ที่พูดอย่างนี้ได้เนื่องจากมีข้อสังเกตคือกาสิโนเกิดขึ้นก่อน แล้วไทยจึงจะมีการอนุมัติสร้างถนนตามหลังและสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีที่แล้ว
ต่อมาภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์การช่วยเหลือคนไทยนับ 100 คนในครั้งนั้นแล้ว สหรัฐอเมริกาและทั่วโลกได้จับตามองพื้นที่นี้ ว่าเป็นพื้นที่อาชญากรรมระดับโลก ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียต่อสหรัฐสหรัฐอเมริกาปีละ 10,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันพื้นที่ตรงจุดนี้ตาม MOU43 แล้วไม่สามารถจะสร้างสิ่งปลูกสร้างใดได้เลย ดังนั้น จะต้องมีการปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจ จากเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายไทยจึงทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น
สำหรับกรณีเรื่องของ ‘ทมอดาซิตี้’ นี้ ถูกเปิดเผยขึ้นมาก็เนื่องมาจาก จากเหตุการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างไทยกัมพูชาทำให้ไทยไม่ยอมเปิดด่านง่ายๆ จุดนี้ถูกประกาศขึ้นมาโดยกองทัพเรือ ทำให้เรารู้ว่าในพื้นที่แถบจันทบุรีและตราดไทยถูกรุกล้ำ 17 จุด โดยเฉพาะที่บริเวณทมอดา ซึ่งมีการล่วงล้ำและไทยได้ประท้วงไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่พอใจฝ่ายการเมืองที่มุ่งมั่นในการที่จะเปิดด่านเพียงอย่างเดียว
ซึ่งตนก็เห็นด้วยว่าไม่ควรจะเปิด แต่ในขณะเดียวกัน ทราบมาว่า ในตอนที่ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ไปประชุม GBC ก็กลับมาเปิดเผยว่าจะมีการเปิดด่านที่จันทบุรีและตราด แต่ในขณะเดียวกันการประชุมในชั้นเลขาในบันทึกการประชุมนั้นก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แสดงว่ามีการสอดไส้ในระหว่างการเจรจา และต้องมีการล็อบบี้ใครสักคนที่ไปยื่นเงื่อนไขการเปิดด่านในจันทบุรีตราดพอดี ซึ่งการเปิดด่านก็จะไปเอื้อประโยชน์ให้กับออกยาตรีเพียบซึ่งมีธุรกิจในโซนนี้
ขณะเดียวกันก็มี นายทหารจากกองทัพเรือ บางคนได้โยนหินถามทาง ระบุว่ามีการร้องขอมาว่าตึกที่อยู่ในโซนทมอดาซิตี้ ที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย จะทุบทิ้งหรือจะใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งแท้ที่จริงมันไม่สามารถคิดในแบบนำได้เนื่องจากว่ามีการสร้างที่ผิดและรุกล้ำพื้นที่อธิปไตยของไทย ซึ่งทัศนคติเหล่านี้ที่หลุดล่อออกมาจึงเป็นที่ตั้งข้อสังเกต
ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวมองว่าควรจะทุบทิ้งเพียงอย่างเดียว เพราะการสร้างที่เข้ามาในแผ่นดินไทยไม่ใช่เพียงแค่การรุกล้ำเฉยๆ แต่เป็นการรุกล้ำอธิปไตยของประเทศไทย และเราจะต้องสำแดงอำนาจเหล่านั้น โดยการทำลายทิ้ง เพราะเขาได้สร้างสิ่งปลูกสร้างเกินกว่าขอบเขตตามที่ได้ตกลงกันระหว่างประเทศ และเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยอย่างชัดเจน ซึ่งการที่เราจะไปสร้างพื้นที่ร่วมกันมันจะนำไปสู่การทำให้ประเทศไทยถูกมองว่า เราเป็นกลุ่มแก๊งอาชญากรร่วมกันกับกัมพูชา และการยอมรับเป็นพื้นที่ร่วมเท่ากับสละอำนาจอธิปไตยว่าไม่ได้อยู่ในอำนาจอธิปไตยที่มีการละเมิดขนาดนี้ นั่นทำให้เราสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายกฎหมายปิดปาก และการประท้วงที่ผ่านมากลายเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยและไร้เหตุผล
Advertisement