ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา Joint Boundary Commission หรือ JBC ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ที่่ผานมา ที่ กรุงพนมเปญ ประเทศ กัมพูชา ฝ่ายไทยซึ่งมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดนเป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทย ด้านฝ่ายกัมพูชา มีนายลำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายกัมพูชา
แถลงการณ์โดย่ายไทย ระบุว่า โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน นอกจากนี้ยัง เห็นชอบให้มีการแก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 (TOR 2003) เพื่อนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ อีกด้วย
เทคโนโลยี LiDAR คืออะไร ?
LiDAR หรือ ไลดาร์ "Light detection and ranging” วัตถุประสงค์หลักที่สำคัญคือการใช้เพื่อวัดระยะ หรือความสูงของพื้นผิว หลักการทำงานคือการส่งแสงเลเซอร์ไปกระทบวัตถุหรือพื้นผิวต่างๆ ซึ่งระหว่างทางระบบจะทำการคำนวณเวลาในการเดินทางของแสงตั้งแต่ถูกปล่อยออกจากอุปกรณ์จนสะท้อนกลับมาที่ตัวรับสัญญาณ เพื่อวัดระยะโดยมีสูตรในการคำนวณ คือ ระยะทาง = (เวลาที่แสงเดินทาง x ความเร็วของแสง) /2
แต่สำหรับ LiDAR เองก็ไม่ใช่ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่สักเท่าไหร่นัก เพราะถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 หลังจากที่มีเทคโนโลยีโซนาร์ (Sonar) และเรดาร์ (Radar) ทั้ง 3 เทคโนโลยีมีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกัน แต่จะแตกต่างกันที่พลังงานในการรับส่งข้อมูล เนื่องจาก LiDAR จะเป็นการใช้คลื่นแสง ส่วน Sonar นั้นใช้คลื่นเสียง และ Radar เป็นการใช้คลื่นวิทยุ
LiDAR ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ?
1. ระบบ Sensor หรือ การวัดระยะทางด้วยเลเซอร์
2. ระบบ GPS หรือ ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลกเพื่อระบุตำแหน่งและความสูงของเครื่องรับสัญญาณ
3. Inertial Measurement Unit (IMU) หรือ เครื่องวัดอาศัยความเฉื่อยที่คอยช่วยในเรื่องการวางตัวของเครื่องบินหรือดาวเทียม โดยทั้ง 3 องค์ประกอบจะทำงานสัมพันธ์กันเพื่อให้ได้มาซึ่งของข้อมูลที่ต้องการ
ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้จะอยู่ในรูปแบบจุด หรือที่เรียกว่า Point Clouds โดยในแต่ละจุดจะประกอบไปด้วยตำแหน่งทางราบและทางดิ่ง (x,y,z) เก็บข้อมูลได้ตั้งแต่วัตถุขนาดเล็กไปจนถึงสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ต่างๆ บนผิวโลก ด้วยการสำรวจทางอากาศสำหรับสร้างเป็นแบบจำลองเชิงเลข ทั้ง DEM (Digital Elevation Model) และ DSM (Digital Surface Model) ส่วนความแตกต่างนั้นหากจะอธิบายให้เข้าใจโดยง่ายก็คือ DEM เป็นแบบจำลองความสูงเชิงเลขแสดงถึงพื้นผิวหรือลักษณะภูมิประเทศของโลกเท่านั้น ส่วน DSM นั้นเป็นแบบจำลองพื้นผิวเชิงเลขที่จะแสดงลักษณะพื้นผิวของสิ่งปกคลุมดินร่วมด้วย เช่น อาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือแม้กระทั่งเรือนยอดของต้นไม้
แบบจำลองความสูงเชิงเลขสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์พื้นผิวได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น การสร้างเส้นชั้นความสูง (Contour Line) พื้นที่การมองเห็น (Viewshed) ความลาดชัน (Slope) การตกกระทบของแสง (Hillshade) การหาปริมาตรในการขุดและถมที่ (Cut and Fill) ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงแต่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านของการสำรวจเท่านั้น แต่ยังสามารถประยุกต์เพื่อหาทำเลที่ตั้งของบ้านพักหรือรีสอร์ทเพื่อให้ได้มุมมองที่ดีที่สุด
ส่วนงานด้านอื่นๆ ที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ก็มีมากมาย เช่น งานด้านภัยพิบัติ การสำรวจแม่น้ำเพื่อสร้างแบบจำลอง 3 มิติให้ทราบข้อมูลความลึกตื้น หรือการตรวจสอบน้ำท่วม การสร้างแบบจำลองมลพิษ (Modelling of the pollution) แสดงถึงความหนาแน่นของมลพิษเพื่อนำไปบริหารจัดการเมืองให้ดีขึ้น หรืองานด้านโบราณคดีและการก่อสร้างอาคาร (Archeology and building construction) ที่ LiDAR จะสามารถเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่ยากจะเข้าถึงได้ ข้อมูลโครงสร้างของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง อาจเป็นการเก็บข้อมูลหรือเพื่อนำมาใช้วางแผนการบูรณะวัตถุและโบราณสถานก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น LiDAR ถูกนำมาใช้กับเทคโนโลยีใกล้ตัวเราอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ในยานพาหนะ หุ่นยนต์ทำความสะอาด หรือฟีเจอร์ในสมาร์ตโฟนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยในด้านยานยนต์อัตโนมัติ (Autonomous vehicles) LiDAR ถูกนำมาใช้เพื่อตรวจสอบวัตถุรอบข้างเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ อีกทั้งยังถูกนำมาใช้ในระบบขับขี่ด้วยตนเอง (Self - Driving) รวมไปถึงโลกเมือนจริง (Metaverse) ที่กำลังเป็นกระแสร้อนแรงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เทคโนโลยีตัวนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อม 3 มิติเสมือนจริงได้นอกเหนือจากที่มนุษย์เราเคยสัมผัส
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เป็นหน่วยงานที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติภารกิจ สำหรับโครงการการสำรวจทางโบราณคดีด้วยเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล เพื่อสนับสนุนการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์และนำมาวิเคราะห์การเชื่อมโยงข้อมูลเชิงพื้นที่ จนนำไปสู่การค้นพบหลักฐานที่สามารถคาดการณ์ถึงความน่าจะเป็นของการตั้งถิ่นฐานหรือเกิดขึ้นของแหล่งโบราณคดี ท้ายที่สุดเมื่อลองจินตนาการว่าถ้าหากตามนุษย์สามารถที่จะมองเห็นและทราบระยะไปพร้อมกัน คงเป็นอะไรที่มหัศจรรย์น่าดู ฉะนั้นไลดาร์จึงเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะสร้างประโยชน์ในงานต่างๆ ที่หลากหลายต่อไปในอนาคต
ขอบคุณข้อมูล : GISTDA
Advertisement