เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่สร้างความน่าตกใจอย่างกว้างขวาง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) เข้าตรวจค้นและจับกุม พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอแอร์” พร้อมพวกในข้อหาร่วมกันค้ายาเสียสาว หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และ 4 โดยไม่ได้รับอนุญาต
กรณีนี้สะท้อนปัญหาเชิงลึกในระบบควบคุมยาและจรรยาบรรณแพทย์ที่กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก และความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน ต่อความเชื่อมั่นในวงการแพทย์ และระบบสาธารณสุขไทย
เบื้องหลังขบวนการลอบขายยา
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า “หมอแอร์” มีบทบาทในระดับผู้สั่งการภายในขบวนการ และยังเป็นผู้ที่เบิกจ่ายยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการลักลอบนำยาออกไปจำหน่ายอย่างผิดกฎหมาย
ทาง ปส. เปิดเผยว่าได้รับการประสานและร้องทุกข์จาก อย. มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัยของกลุ่มผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่จึงได้เริ่มดำเนินการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่ายผู้กระทำความผิด
โดยพฤติการณ์ของขบวนการนี้เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการสั่งซื้อยาให้นายทุนไปจำหน่าย ก่อนจะนำยาไปส่งต่อยังผู้ค้ารายย่อย กระจายสู่กลุ่มผู้ใช้ปลายทางอย่างเป็นระบบ เจ้าหน้าที่สามารถติดตามพฤติกรรมการกระทำผิดได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง และมีพยานหลักฐานที่ได้จากคดีนี้ชัดเจนจนสามารถขออำนาจศาลอนุมัติหมายจับ
ยอดสั่งยาพุ่ง คลินิกเพิ่มเป็นสิบแห่ง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เผยข้อมูลความเคลื่อนไหวการสั่งซื้อยาวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 โดยเฉพาะยาอัลปราโซแลม (Alprazolam) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาคลายเครียดและโรคซึมเศร้า พบแนวโน้มการสั่งซื้อจากคลินิกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
ปี 2565 มีคลินิกประมาณ 5 แห่ง ยอดสั่งซื้อรวมกว่า 1 ล้านบาท
ปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 7 แห่ง ยอดสั่งซื้อรวมกว่า 4 ล้านบาท
ปี 2567 ขยายตัวเป็น 11 แห่ง ยอดสั่งซื้อประมาณ 7-8 ล้านบาท
และในปี 2568 มีคลินิกที่สั่งซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 12 แห่ง
อย. ตั้งข้อสังเกตว่ามีการเกี่ยวข้องกับหมอที่รักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับจิตเวช จึงมีการขออนุญาตซื้อยาดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามระเบียบราชการ แต่พบความผิดปกติคือมีการสั่งซื้อยาจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าโรงพยาบาล จึงมีการเตรียมขยายผลว่าเกิดอะไรขึ้น
และมีการรายงานบัญชีรายชื่อผู้ป่วย โดยพบว่ามีผู้ป่วยบางรายเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังถูกนำชื่อมาใช้สวมในการสั่งซื้อยาเพื่อให้ได้รับการอนุมัติ และมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการรายงานของคลินิกพบว่า ทั้ง 12 แห่งมีการซื้อยาแตกต่างกันไป แล้วนำยามาอนุมัติการสั่งซื้อมาที่ อย. ซึ่ง อย.จะส่งทางไปรษณีย์ จากนั้นจะมีการจัดส่งยาไปยังคลินิกต่างๆ โดยใช้ “ไรเดอร์” เป็นผู้ไปรับยาจากจุดต่างๆ เช่น แฟลตตำรวจ ซึ่งเป็นที่พักเก็บยา
ทั้งนี้ “หมอแอร์” เป็นผู้ชำระเงินค่าซื้อยาเพียงผู้เดียว เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติทางการเงิน โดยมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 80 ล้านบาท ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังพบเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับบุคคลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดในข้อหาฟอกเงินและเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและบทลงโทษ
การกระทำของ "หมอแอร์" และเครือข่าย เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหลายมาตราภายใต้กฎหมายไทย ได้แก่
พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 : ห้ามผลิต นำเข้า จำหน่ายยาอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 : ละเมิดจรรยาบรรณแพทย์
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 : ให้บริการหลอกลวงและก่อให้เกิดอันตราย
ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 : จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต บทลงโทษมีตั้งแต่จำคุกไม่เกิน 5-15 ปี ปรับไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับลักษณะการกระทำความผิด เช่น การกระทำเพื่อการค้า การจำหน่ายในสถานศึกษาหรือสถานที่ราชการ
หากตรวจสอบพบว่ามีความผิดจริง แพทยสภาเตรียมเสนอให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งถือเป็นบทลงโทษสูงสุดทางวิชาชีพ เพื่อเป็นบรรทัดฐานไม่ให้แพทย์นำความรู้และตำแหน่งหน้าที่ไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
กรณีนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนถึงความจำเป็นในการยกระดับความเข้มงวดในการกำกับดูแลคลินิกที่เกี่ยวข้องกับ โดยเฉพาะเมื่อมีความเชื่อมโยงกับบุคคลในวงการแพทย์ ซึ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่สังคมต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข แต่ยังกัดกร่อนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อวิชาชีพแพทย์และกลไกรัฐ
Advertisement