
และอีกหลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง และเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทย
“อมรินทร์ทีวีออนไลน์” จึงขอย้อนไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่ละเดือน เพื่อบันทึกเอาไว้ว่า ปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งเพื่อการจดจำ และการเรียนรู้เตรียมตัวสู่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 กับ “Big Stories 2025”
เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดและสร้างความโศกเศร้าอย่างหาที่สุดมิได้แก่พสกนิกรไทย คือการประกาศข่าวการสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 เวลา 21.21 น. ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สิริพระชนมพรรษา 93 พรรษา
การเสด็จสวรรคตของ "แม่ผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน" นำมาซึ่งความโศกเศร้าที่ปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ พร้อมประกาศไว้อาลัยและดำเนินการจัดงานพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความผูกพันลึกซึ้งที่ปวงชนชาวไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระองค์ทรงเป็นคู่บุญบารมี
ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยเฉพาะโครงการศิลปาชีพที่สร้างอาชีพให้ราษฎรและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ตลอดเดือนตุลาคม เราจึงได้เห็นภาพของความรักและความสามัคคีที่คนไทยมีต่อกัน ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการไว้อาลัยอันเงียบสงบ เว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ต่างปรับโทนสีขาวดำเพื่อร่วมถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแก่ "พระบรมราชชนนี" ผู้ทรงเป็นแสงสว่างนำทางใจของคนไทยตลอดมา
ในมิติของเศรษฐกิจ เดือนตุลาคมยังเป็นเดือนที่รัฐบาลเปิดตัวโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อยอดจากนโยบายเดิม เพื่อหวังลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายย่อย โดยเริ่มเปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม และเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนในวันที่ 20-26 ตุลาคม ก่อนจะเริ่มใช้จ่ายจริงวันแรกในวันที่ 29 ตุลาคม 2568
โครงการนี้มีความพิเศษที่การขยายฐานผู้ได้รับสิทธิไปยังกลุ่มเยาวชนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป และแบ่งวงเงินตามฐานข้อมูลภาษี โดยกลุ่มผู้ยื่นภาษีรับวงเงิน 2,400 บาท และกลุ่มทั่วไปรับ 2,000 บาท
รัฐบาลคาดหวังว่ามาตรการนี้จะสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 88,000 ล้านบาท ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังซื้อเปราะบาง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังควบคู่กันคือกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวมากับ "ลิงก์ปลอม" จนตำรวจไซเบอร์ต้องออกโรงเตือนอย่างหนัก
แม้จะมีเสียงสะท้อนถึงความต้องการมาตรการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนมากกว่าการแจกเงิน แต่ "คนละครึ่ง พลัส" ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น "ยาแรง" ที่เข้ามาช่วยพยุงอารมณ์การจับจ่ายของประชาชนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
แต่แล้วความหวังของประชาชนก็ต้องสะดุดลงในช่วงท้ายปี เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองพลิกผันอย่างรุนแรง จากการที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ส่งผลให้โครงการ "คนละครึ่ง พลัส เฟส 2" ที่กำลังจะเริ่มดำเนินการต่อต้องถูกระงับไปโดยปริยาย เนื่องจากรัฐบาลรักษาการไม่สามารถอนุมัติงบประมาณกลางเพื่อผูกพันโครงการใหม่ได้ ทำให้มาตรการที่เคยตั้งเป้าเป็นฟันเฟืองหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องยุติลง ทิ้งไว้เพียงคำถามถึงความต่อเนื่องของนโยบายในรัฐบาลสมัยหน้า
ศึกวิวาทะเดือด "กัน จอมพลัง vs ไอซ์ รักชนก"
ในช่วงกลางเดือนตุลาคม โลกออนไลน์ร้อนระอุขึ้นเมื่อเกิดกรณี "มวยคู่ใหม่" ระหว่าง กัน จอมพลัง นักขับเคลื่อนสังคมชื่อดัง และ ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน
ปมดรามาเริ่มขึ้นเมื่อฝั่ง สส.ไอซ์ ขอให้ กัน จอมพลัง ช่วยใช้อิทธิพลและความสนิทสนมส่วนตัวกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และนายอนุทิน ชาญวีรกูล เพื่อกระทุ้งปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาและชี้แจงความสัมพันธ์กับเครือข่ายทุนเทา
เหตุการณ์บานปลายเมื่อมีการขุดคุ้ยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่บริษัทของ กัน จอมพลัง ได้รับงานจากกระทรวงเกษตรฯ ทำให้ กัน จอมพลัง ออกมาตอบโต้เดือดว่า "การเมืองสกปรก" และระบุว่าการถูกลากไปโยงกับการเมืองทำให้ตนถูกยกเลิกงานจ้างสูงถึง 6 แสนบาท พร้อมตั้งคำถามว่านักการเมืองจะรับผิดชอบอย่างไร
ความขัดแย้งลุกลามไปถึงการตั้งคำถามเรื่อง "เงินบริจาค" มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ จนมีการเปิดห้องแถลงข่าวเผชิญหน้ากันในวันที่ 24 ตุลาคม โดย สส.ไอซ์ บุกถามกลางวงแถลงเรื่องความสนิทสนมกับ ร.อ.ธรรมนัส
ขณะที่ กัน จอมพลัง ยืนยันหนักแน่นว่าตนสนิทกับทุกคนที่ช่วยสังคม และเงินสนับสนุนหลักมาจาก "แฟนคลับ" ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทางการเมือง พร้อมท้าให้ตรวจสอบเส้นเงินได้ทันที
ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองและภาคประชาชนที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในปีนี้
อีกหนึ่งข่าวใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งในและต่างประเทศ คือการที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศแต่งตั้งศิลปินระดับโลกอย่าง “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” เป็น Amazing Thailand Ambassador เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 เพื่อเตรียมเสริมพลังโปรโมตการท่องเที่ยวไทยปี 2569
การได้ลิซ่ามารับหน้าที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงการจ้างพรีเซนเตอร์ แต่คือยุทธศาสตร์การใช้ Soft Power ที่ทรงพลังในการสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ของไทยที่สดใหม่ ทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งความอบอุ่นและมิตรภาพ
ซึ่งลิซ่าเองมักจะเผยแพร่ความเป็นไทยผ่านแฟชั่นและอาหารจนเป็นไวรัลอยู่เสมอ ททท. จึงมั่นใจว่าการร่วมงานครั้งนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพและสร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล
แม้จะมีการตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์เชิงรูปธรรม ว่าจะสามารถแปลงกระแสความนิยมจากฐานแฟนคลับให้กลายเป็นการเดินทางจริงและรายได้ที่ยั่งยืนได้มากน้อยเพียงใด แต่กระแสตอบรับที่ถล่มทลายจากฐานแฟนคลับทั่วโลกถือเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการปักหมุดประเทศไทยให้เป็นเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องมาเยือนในปีหน้า
ซึ่งนี่จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปีที่กำลังจะมาถึง
เมื่อมองภาพรวม เดือนตุลาคม 2568 คือช่วงเวลาที่สะท้อนหลากหลายอารมณ์และมิติของสังคมไทย ตั้งแต่การเผชิญเหตุการณ์สูญเสียระดับชาติที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อประคับประคองปากท้อง การปะทะทางความคิดระหว่างขั้วอำนาจการเมืองและภาคประชาชนอย่างรุนแรง ไปจนถึงความหวังในการใช้พลังวัฒนธรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เวทีโลก
โดยรวมแล้ว เดือนตุลาคม 2568 คือช่วงเวลาที่สะท้อนหลากหลายมิติของสังคมไทย ตั้งแต่ความโศกเศร้าจากการสูญเสียระดับชาติ การประคับประคองปากท้องผ่านนโยบายเศรษฐกิจ การปะทะทางความคิดที่รุนแรง ไปจนถึงความหวังในการขับเคลื่อนประเทศสู่เวทีโลกด้วยพลังวัฒนธรรม... และนี่คือเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2568
Advertisement