
วันที่ 23 ธ.ค.2568 จากกรณีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงประเด็นภาพการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี จากประเทศสิงคโปร์ (Prime Opportunity Fund VCC Singapore) เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 ซึ่งนายไชยชนก ได้มีการขอให้ตรวจสอบติดตามและรายงานผลเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่อง MOU บริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore โดยด่วนที่สุด พร้อมมีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 พ.ย.68 ยกเลิกบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีฯ และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore ดังกล่าว หลังจากพบเส้นทางเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก แต่ใน MOU ได้ระบุว่า จะร่วมกันจัดทำโครงการศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลและการเงิน (TIDC) ทำให้นายไชยชนก ได้ประสานขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กับสำนักงาน ปปง. ช่วยดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง นอกจากนี้ นายไชยชนก ยังพบข้อพิรุธในหลายเรื่อง อาทิ การจัดทำ MOU ดังกล่าว เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.67 และมีการลงนามใน MOU วันที่ 27 มี.ค.67 ซึ่งใช้เวลาดำเนินการเพียง 3 วัน และพบว่าเกี่ยวโยงกับการเก็บข้อมูลสแกนม่านตา
ทั้งนี้ เหตุการณ์การลงนาม MOU เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 ยังพบว่ามีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ตำแหน่งในขณะนั้น) มีนายเบน สมิธ , ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ (ตำแหน่งในขณะนั้น) และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย (ตำแหน่งในขณะนั้น) ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม MOU ครั้งนั้นด้วย ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ ห้องสำนักงานรองอธิบดีดีเอสไอ ชั้น 8 ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ได้ดำเนินการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐาน พยานเอกสาร ขยายผล สอบปากคำพยาน เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี จากประเทศสิงคโปร์ นั้น ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้สอบปากคำพยาน นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เกี่ยวกับที่มาของการลงนาม MOU ดังกล่าว และนอกจากนี้ ยังมีการสอบปากคำพยานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA สอบปากคำเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลการบังคับใช้ PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 สอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ และสอบปากคำบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ Bitkub เนื่องด้วย Bitkub มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเข้าเหรียญ Worldcoin หลังจากนี้จึงเหลือเพียงการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและเทคโนโลยี ขณะที่ในส่วนของผู้เสียหายที่เคยใช้บริการสแกนม่านตาเเลกเหรียญดิจิทัลผ่านเครื่องสแกนม่านตา “Orb" ดีเอสไอก็ได้ดำเนินการสอบปากคำไว้บางส่วนแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้สอบปากคำพยานในส่วนของข้าราชการประจำแล้วนั้น จึงเหลือในส่วนของข้าราชการฝ่ายการเมือง ประกอบด้วย 1.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (ตำแหน่งในขณะนั้น รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) และนายวัลลภ รุจิรากร (ตำแหน่งในขณะนั้น เลขานุการ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) เพื่อสอบถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี จากประเทศสิงคโปร์ จากการนำนโยบายมาเพื่อสนับสนุนจัดตั้งโครงการศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและการเงินของประเทศไทย หรือ Thailand International Digital Business & Finance Centre (TIDC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานในการส่งเสริมระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรและการลงทุนในธุรกิจดิจิทัล รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสำหรับธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทย และโครงการ TIDC มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์ยุคใหม่ของประเทศไทยและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจออนไลน์ สตาร์ทอัพ รวมถึงการลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและทั่วโลก แต่ปรากฏว่า MOU ดังกล่าวนำมาซึ่งการติดตั้งเครื่องสแกนม่านตาประชาชน ชื่อ ”Orb" ซึ่งถูกติดตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ โดยผู้ใดรับบริการสแกนม่านตา ก็จะได้รับเหรียญดิจิทัล "Worldcoin" สะสมไว้แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทยได้ ทั้งนี้ เครื่องสแกนม่านตาแลกเหรียญดิจิทัลดังกล่าวยังไม่ถูกรับรองวินิจฉัยโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าผิดกฎหมายตาม พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 หรือไม่
อีกทั้งในปี 2567 นับแต่มีการติดตั้งเครื่องสแกนม่านตา ได้มีคนไทยกว่า 1.2 ล้านคนเข้ารับบริการสแกนม่านตารับเหรียญดิจิทัลไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้แน่ชัดว่าข้อมูลอัตลักษณ์ส่วนบุคคลของตัวเองได้ถูกนำไปใช้อย่างไรบ้าง เพราะสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ยืนยันกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษแล้วว่า “ม่านตา” ถือเป็นข้อมูลชีวภาพที่มีความปลอดภัยสูง และเทียบเท่ากับสารพันธุกรรม (DNA) จึงเป็นข้อกังวลว่าเครื่องสแกนม่านตาดังกล่าวอาจมีการบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยไว้ในระบบที่จัดทำไว้ ก่อนถ่ายโอนข้อมูลเหล่านี้ในฐานระบบออนไลน์ แม้ทางบริษัท ทีไอดีซี เวิล์ดเวิร์ส จำกัด (TIDC WORLDVERSE COMPANY LIMITED) จะชี้แจงว่า มีการขออนุญาตกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เรียบร้อยแล้ว
โดยขออนุญาตว่าจะไม่เก็บข้อมูลที่ได้การสแกนม่านตา แต่เพียงแค่ต้องการพิสูจน์ตัวตนความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้งานไว้เท่านั้น แต่ท้ายสุด สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า มีการเก็บข้อมูล Iris code โดยเป็นการเอาข้อมูลจากการสแกนม่านตามาแปลงเป็น Iris code เบื้องต้นจึงคาดว่าอาจเกี่ยวกับการโอนถ่ายข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์เข้าสู่ระบบ
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 14.40 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้เดินทางมาถึงห้องสำนักงานรองอธิบดีดีเอสไอ และเปิดเผยสั้น ๆ ว่า วันนี้ตนเดินทางมาให้ข้อมูลดีเอสไอในฐานะพยาน ส่วนข้อมูลที่จะให้แก่ดีเอสไอ ถึงที่มาที่ไปของ MOU หรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบว่าคำถามมีอย่างไรบ้าง แต่ตนยืนยันว่าพร้อมให้ข้อมูลทุกอย่าง
อนึ่ง การสแกนม่านตาแลกเหรียญดิจิทัล มีกฎหมาย 3 ฉบับมาเกี่ยวข้อง คือ 1.พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 2.พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และ 3.พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542.
Advertisement