
วันที่ 22 ธ.ค. 68 เคซีย์ บาร์เน็ตต์ ประธานหอการค้าสหรัฐฯ ในกัมพูชา ได้ประณามการรุกรานของไทยต่อดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา โดยไทยโจมตีทางอากาศและผลกระทบ จนถึงเวลา 00:00 น. ของวันที่ 22 ธันวาคม 2025 ประเทศไทยได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อกัมพูชาประมาณ 23 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องบินรบโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายและทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน เช่น โรงเรียนประถมศึกษา วัด และสะพาน ความรุนแรงของการโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่ามีการโจมตี 5 ครั้งในวันที่ 18 ธันวาคม และอีก 4 ครั้งในวันที่ 19 ธันวาคม
สถานการณ์นี้ส่งผลให้ชาวกัมพูชากว่า 518,611 คน ซึ่งรวมถึงเด็กและผู้สูงอายุ ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศและอาศัยอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวตามค่ายผู้อพยพ ขณะที่ฝั่งไทยรายงานว่ามีประชาชน 213,072 คนต้องอพยพเพื่อความปลอดภัยจากการยิงปืนใหญ่ของกัมพูชา ความทุกข์ยากนี้เกิดขึ้นกับชาวเขมรทั้งสองฝั่งพรมแดน โดยเฉพาะในจังหวัดสุรินทร์ของไทย ซึ่งคาดการณ์ว่ามีประชากรเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่ถึง 63%
ประธานหอการค้าสหรัฐฯ ในกัมพูชากล่าวว่า ไทยได้ตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งมีการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรตอบแทนที่ 19% ถือเป็นชัยชนะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตไทยที่ได้รับสิทธิประโยชน์โดยไม่ต้องให้สัมปทานใดๆ แก่สหรัฐฯ ในขณะที่กัมพูชาได้ให้สัมปทานไปก่อนหน้าแล้วด้วยการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด ต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ได้มีการลงนามใน "ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์" (Kuala Lumpur Peace Accord) ระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทินของไทย และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา โดยมีประธานาธิบดีทรัมป์เป็นพยาน
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 นายกฯ อนุทินได้ประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพ และประกาศให้เป็น "โมฆะ" ในวันถัดมา โดยอ้างเหตุผลว่าทหารไทย 4 นายได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดในพื้นที่ขัดแย้ง แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันว่ากับระเบิดดังกล่าวเพิ่งถูกวางใหม่หลังการลงนามสันติภาพหรือไม่ การตัดสินใจนี้ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ที่เกินกว่าเหตุเมื่อเทียบกับความสูญเสียและจำนวนผู้พลัดถิ่นเกือบ 700,000 คน
บาร์เน็ตต์ มองว่า การตัดสินใจของนายกฯอนุทิน อาจเกี่ยวข้องกับแรงกดดันทางการเมืองภายใน โดยการตัดสินใจเปิดฉากสงครามกับกัมพูชาในวันที่ 7 ธันวาคม 2025 จึงถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ทางเมืองเพื่อสร้างความได้เปรียบก่อนการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังการยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคม 2025
Advertisement