
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวตั้งข้อสังเกต กรณีมีภาพ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมเฟรมกับ นายเบญจมิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ว่าถึงแม้ว่าจะเป็นรูปเก่าตามที่ได้รับการชี้แจง แต่รูปที่ออกมาก็เห็นได้ชัดว่าอยู่ในหลายสถานที่ หลายเวลา หลายกรรม หลายวาระ ซึ่งล่าสุด นายอนุทิน บอกว่าเจอกัน 5-6 ครั้ง แสดงว่าความสัมพันธ์คงไม่ใช่แค่การเจอกันผ่านๆ ในงาน ขอตั้งข้อสังเกตว่าความสัมพันธ์นี้ลึกซึ้งแค่ไหน
ประเด็นที่สอง ที่ผ่านมาสังคมและพรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามเกี่ยวกับบุคคลในรูปหลายครั้งว่ามีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่และมีคำถามไปยังบุคคลในรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีหลายครั้งว่า ทำไมก่อนหน้านี้ นายกฯ ไม่เคยมีความโปร่งใสในการชี้แจงเรื่องเหล่านี้มาก่อน จนกระทั่งมีรูปออกมาในสื่อ แล้วค่อยมาจึงค่อยมาชี้แจง
ประเด็นที่สาม เรื่องราวในรูปเหล่านี้เกี่ยวโยงกับความล่าช้าในการจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลหรือไม่ และเกี่ยวกับการจัดการกับบุคคลในรัฐบาล ที่มีข่าวเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ พร้อมยกตัวอย่างกรณี รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ออกมาพูดตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่ามีคนเสนอสินบน 40 ล้าน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าคนคนนั้นเป็นใคร จึงต้องตั้งข้อสังเกตว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่
ส่วนกรณีที่ นายอนุทิน ระบุว่า พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะไม่ให้สัญชาติไทยกับ เบน สมิธ นั้น จริงๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสัญชาติ แต่มีเหตุผลข้อเดียวคือท่านทำงานไม่เป็น ตั้งแต่การตัดน้ำตัดไฟคอลเซ็นเตอร์ที่ล่าช้า รอการตัดริบบิ้น และการทำงานไม่เป็นก็เป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชนทั่วประเทศ ในตอนที่ท่านเข้ามาเป็นนายก จากการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนแช่น้ำอยู่ 4 เดือนแล้ว สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในภาคใต้ ทำให้เห็นชัดว่านายกรัฐมนตรีทำงานไม่เป็น และน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้เวลาสั้นที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองว่าทำงานไม่เป็น ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์มา และดูจากทั้งการบริหารและการสื่อสารของรัฐบาล น่าจะเป็น "you have no idea what you doing มากกว่า (คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่มากกว่า)"
สำหรับพรรคเพื่อไทย ข้อมูลเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่าในฐานะพรรคฝ่ายค้านต้องใช้กลไกในสภาในการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล และขอย้ำว่าไม่มีดีลใดๆทั้งสิ้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิและหน้าที่ของฝ่ายค้าน การตัดสินใจยุบสภาเพื่อหนีการตรวจสอบเป็นการตัดสินใจของรัฐบาล แบ่งกันให้ชัดเจน และขอตั้งคำถามไปยังพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ว่าตอนนี้รัฐบาลบริหารจัดการในรูปแบบนี้ ความเสียหายยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพียงพอหรือยังที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนมองว่าพรรคเพื่อไทยคิดว่านายกฯ เคลียร์ตัวเองชัดเจนหรือไม่ นอกจากการบอกว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน นายศึกษิษฎ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนจริงๆ เจอกันเต็มที่ก็แค่ครั้งหรือ 2 ครั้ง แต่จากในรูปที่เห็น ต่างกรรมต่างวาระ มีทั้งกินข้าวด้วยกัน เดินทางไปต่างประเทศด้วยกัน ตรงนี้คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นแค่เพื่อนของเพื่อน แต่น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ่งกว่านั้น ตั้งข้อสังเกตว่ามีความยึดโยงหลายอย่าง จากการบริหารจัดการแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่ที่นายอนุทิน เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ที่ทุกอย่างทำอย่างล่าช้า ทั้งการตัดน้ำตัดไฟ จนมาเป็นนายกฯ การจัดการกับคอลเซ็นเตอร์ก็ทำได้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น แม้กระทั่งการเสนอเงิน 40 ล้านบาท ให้รัฐมนตรีดีอี จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ
ส่วนที่ในภาพมี นายเอกนิติ อยู่ด้วย นายกฯ ควรตรวจสอบเหมือนกับกรณีของ นายวรภัค ธันยาวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หรือไม่ นายศึกษิษฎ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมข้อมูลไว้ตรวจสอบรัฐมนตรีที่บริหารพร้อมๆกัน ส่วนจะยื่นใครบ้างต้องไปพิจารณาอีกที แต่ที่แน่ๆ นายกฯ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงสุด อยู่ในลิสต์แน่นอน
ส่วนกรณีนายกฯระบุว่าเรื่อง นายเบน สมิธ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ นายอนุทิน หลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีมหาดไทย ในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร นายศึกษิษฎ์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการไม่ให้สัญชาติ นายเบน สมิธ แต่การที่ตัดสินใจให้นายอนุทินพ้นตำแหน่ง เพราะทำงานไม่เป็น บริหารจัดการไม่ได้ ตั้งแต่คอลเซ็นเตอร์ ที่ล่าช้าในการตัดน้ำตัดไฟ จนกระทั่งในตอนนี้ประชาชนทั้งประเทศก็เห็นประจักษ์แล้วว่าทำงานไม่เป็น
ส่วนกรณีมีการมองว่าภาพที่มาเปิดตอนนี้อาจถูกโยงว่าเป็นเรื่องการเมือง ดิสเครดิตการทำงานของรัฐบาลนายอนุทินนั้น นายศึกษิษฎ์ กล่าวว่า เห็นได้จากการบริหารจัดการน้ำท่วมภาคใต้ ต่อให้ไม่มีภาพนี้ออกมา การบริหารจัดการของนายกฯ ก็อยู่ขั้นต่ำมาก ภาพนี้ออกมาก็คงไม่ได้ทำให้แย่ไปมากกว่านี้ แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการบริหารจัดการของนายกฯ ไม่ได้เข้าตามประชาชน
Advertisement