
หลังจากที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ไปยื่นหนังสือให้ประธานคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ หรือ ก.ร.ตร. นายอัจฉริยะ ระบุว่า ได้หารือเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนใช้เวลาไม่นาน ต้องมีขั้นตอนว่าจะต้องลงมติรับเอง หรือส่งต่อ แต่มติเบื้องต้น คือจะรับเอง เพราะ ผู้ถูกร้องเป็น ผบ.ตร. ทาง ก.ร.ตร. จะเป็นผู้รับเรื่องเอง และไต่สวนเอง พร้อมบอกว่าที่ผ่านมาเคยยื่นเรื่องร้องเรียนมาที่ ก.ร.ตร. ไปแล้ว 12 เรื่อง แต่เรียกตนมาสอบในฐานะพยานแค่ 2 ครั้งอีก 10 เรื่อง ไม่เคยเรียกตัวเองมาสอบ อย่างคดีชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว เขาเคยแจ้งมาครั้งหนึ่งว่ามีมูลแต่ก็เงียบหายไปเลย
พร้อมบอกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาตัวเองเป็นคนร้องเองเกือบทั้งนั้น เพราะบางครั้งคนร้องก็กลัวตาย กลัวไม่ปลอดภัย เพราะมีเรื่องกับตำรวจทุกคนไม่อยากมีปัญหา และต้องยอมรับความจริงว่าบางครั้งผู้ร้องก็มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เขายอมเสี่ยง แต่ทุกอย่างเราก็จะมีขั้นตอนของเรามีการบันทึกสอบปากคำบันทึกเสียงไว้เพื่อวันหลังเขากลับคำให้การตัวเราเองจะได้มีเกาะป้องกันในสิ่งที่เราร้อง
ต่อมา 13.30 น. นายอัจฉริยะ ได้มาดักพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่กองบินตำรวจ หลังทราบว่า นายอนุทิน มีหมายกำหนดการจะมาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อไปภารกิจที่ จ.พิจิตร เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับกรณี อ้างว่า ผบ. ตร. เกี่ยวข้องโยกย้ายตำแหน่ง และซื้อขายตำแหน่ง โดยทันทีที่นายอนุทินเดินทางมาถึง นายอัจฉริยะได้เข้าไปพบ พร้อมยื่นหนังสือให้ นายอนุทิน รับเรื่องดังกล่าวไว้ โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายอนุทินถึงกรณีดังกล่าวแต่นายอนุทิน บอกสั้นๆ ว่า "เดี๋ยวผมรีบไปครับ" เท่านั้น ก่อนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดพิจิตร
ต่อมา นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า อย่างน้อยในวันนี้หนังสือก็ถึงมือของนายกรัฐมนตรี คิดว่าน่าจะมีความคืบหน้า และตัวเองมั่นใจว่าหลักฐานที่นำมามอบให้เป็นหลักฐานที่มีใบเสร็จพร้อม คาดว่าตำแหน่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเกี่ยวข้องกับการซื้อขายตำแหน่งที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และมีคนใกล้ชิดแอบอ้างบุคคลเบื้องสูง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมบอกว่า หลักฐานที่นำมามอบให้มีความชัดเจน คิดว่านายกรัฐมนตรีจะพิจารณาไปตามกรอบอำนาจหน้าที่
ส่วนตัวเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี ว่านายอนุทินจะไม่นำความเป็นเพื่อนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นเดียวกันมาอยากให้มีการบังคับใช้กฎหมายให้เท่าเทียมกัน ส่วนกรอบระยะเวลาตัวเองไม่ได้กำหนด แต่นายกรัฐมนตรีคงทราบอะไรคือความเร่งด่วน เรื่องนี้เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย มันไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งของตำรวจ แต่เป็นเรื่องของการ ทุจริตคอรัปชั่นไม่เคยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนไหน กล้าทำแบบนี้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งอย่างชัดแจ้งแบบนี้
เมื่อถามว่าในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก.ต.ตร. มองเรื่องนี้สำคัญขนาดไหน นายอัจฉริยะ ระบุว่า เรื่องนี้มีการแอบอ้างบุคคลสำคัญอาจจะมีการระคายเบื้องสูงคาดว่านายกรัฐมนตรีจะต้องทำอย่างไร และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับตัวเองและเป็นเรื่องที่ข้าราชการตำรวจสองแสนนายไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ และหวังว่านายกรัฐมนตรีจะดำเนินการโดยเร่งด่วน
Advertisement