
"นายอนาลโย กอสกุล" ที่ปรึกษา กมธ.ทหาร และบรรณาธิการเว็บไซต์ ThaiArmedForce วันนี้ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ทีวีถึงแนวทางของไทยหลังนายกรัฐมนตรีประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพ เนื่องจากกัมพูชามีการละเมิดสัญญาด้วยการวางทุ่นระเบิดใหม่จนทำให้ทหารไทยเสียขาเพิ่มเป็นรายที่ 7 ซึ่งเจ้าตัวมองว่าหากเราจะเอาประเด็นนี้มาเพื่อจะเปิดศึกรบกับกัมพูชาอย่างเต็มรูปแบบนั้น ไทยยังคงต้องหาความชอบธรรมมากกว่านี้อีกหน่อย เพราะเหตุการณ์มันยังไม่รุนแรงถึงขั้นการโจมตีเมื่อช่วงกรกฎาคม 2568 ที่กัมพูชามีการยิงระเบิดลงร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาลและชุมชน แบบนั้นถือว่าไทยได้ความชอบธรรมสูงสุดในการตอบโต้ด้วยการใช้กำลังทหารบกและทหารอากาศรบได้ตลอดแนว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไทยจะต้องรอให้กัมพูชาโจมตีเหมือนครั้งนั้นจนเกิดความสูญเสีย เพียงแค่ต้องหาบางอย่างที่เทียบเท่ากัน โดยสิ่งที่เราสามารถทำได้เลย นั่นคือต้องย้ำกับสักขีพยานอย่างสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ว่ากัมพูชาคือผู้ที่ฉีกปฏิญญาด้วยการวางทุ่นระเบิดหลังลงนามในปฏิญญาสันติภาพ ดังนั้นหากจะให้ไทยกลับสู่โต๊ะเจรจา กัมพูชาต้องถูกต้องลงโทษบางอย่างก่อน ซึ่งกรณีที่ "นายกอนุทิน" โพสต์ล่าสุด ใจความข้อ 3 ที่บอกว่า "ผมได้ยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะระงับการดำเนินการภายใต้เนื้อหาที่ระบุไว้ในปฏิญญาจนกว่ากัมพูชาจะยอมรับว่าตนมิได้ปฏิบัติตามและได้ละเมิดเงื่อนไขดังกล่าว และต้องมีคำแถลงขอโทษต่อประชาชนชาวไทยในกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูมะเขือซึ่งได้ทำให้ทหารของไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะ" นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องมาก และไม่ใช่แค่ขอโทษคนไทย แต่กัมพูชาต้องขอโทษทั้งสหรัฐอเมริกาและอาเซียนด้วย
รวมถึงกัมพูชาต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการไม่ขัดขวางและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามปฏิญญามากกว่านี้ เช่นการร่วมกันกู้ทุ่นระเบิด และ การปราบสแกมเมอร์ ซึ่งหากนี่ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการสร้างความชอบธรรมให้กับ แต่หากตกลงทำทุกอย่างนี้แล้ว กลายเป็นว่ากัมพูชามีพฤติกรรมไม่หวังดีต่อไทยอีก ยังละเมิดอีก ไทยก็สามารถใช้กำลังทหารด้วยความชอบธรรมได้อย่างเหมาะสม
"นายอนาลโย" บอกว่าสิ่งที่ตนพูดมันอาจจะดูไม่สะใจประชาชนเท่าไหร่ แต่มันคือเกมสร้างความชอบธรรมของปฏิบัติการทางทหาร เพราะ "ชัยชนะทางทหารมันไม่ยั่งยืนและถาวรเท่ากับชัยชนะทางการฑูต" ดังนั้นทั้ง 2 อย่างต้องดำเนินไปพร้อมๆกัน ไม่อย่างยั้นต่อให้เราจะชนะทางทหาร แต่ล้มเหลวทางการฑูต ชัยชนะนั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะเราจะไม่มีเงื่อนไขไปอธิบายกับสากลโลกที่ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าทำไมเราถึงใช้กำลังทหารรบกับกัมพูชา
ดังนั้นในช่วงนี้ไทยอาจจะยังไม่ต้องกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจากับกัมพูชา ตามที่ "นายอันวาร์" พยายามจะผลักดัน เพราะวันนี้การละเมิดของกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจ ไทยเราก็ควรจะทำให้โลกเห็นบ้างว่า "ในเมื่อกัมพูชาไม่มีความจริงใจต่อการเจรจา การเจรจาก็ยังไม่ควรจะเกิดขึ้น" และเพื่อสร้างแรงกดดันต่อมาเลเซียและสหรัฐอเมริกา ให้ไปกดดันกัมพูชาอีกทีเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับไทย ว่าการหากมีการตั้งโต๊ะเจรจาอีก จะต้องเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ผลการเจรจาจะต้องได้ผลลัพธ์และกัมพูชาต้องปฏิบัติตาม
ส่วนกรณีที่สื่อรัฐของมาเลเซียมีการแปลเนื้อหาเกี่ยวกับทุ่นระเบิดผิดในใจความสำคัญ มีนัยยะอะไรไหม? ด้านของ"นายอนาลโย" มองว่าไม่น่าจะตั้งใจแปลผิด แต่คงเป็นความผิดพลาดของบรรณาธิการที่มาจากความสะเพร่าเลินเล่อมากกว่า เนื่องจากต้นฉบับที่ AOT รายงานออกมา ก็มีใจความที่ถูกต้องว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่
และการที่AOT ลงพื้นที่ล่าสุดนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะการเปิดคลิปหลักฐานจากโทรศัพท์ของทหารกัมพูชาที่ไทยเก็บได้ ให้คณะ AOT ดูจากต้นฉบับนั้น ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อไทยได้ แล้วไทยก็ควรจะเอาหลักฐานเหล่านี้กระจายไปยังสื่อต่างประเทศ เพื่อให้มีการนำเสนอข่าวว่าเรามีหลักฐานอะไรบ้างและสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลอะไรต่อปฏิญญาสันติภาพที่ลงนามกันไปก่อนหน้านี้ เพราะปัจจุบันการสร้างความรับรู้ระดับประชาคมโลก ไทยยังทำได้น้อยมาก
นอกจากนี้ไทยต้องหันมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุของกัมพูชาที่มีการวางทุ่นระเบิดเพิ่ม อย่างล่าสุดคือบริเวณแนวลาดตระเวนของทหารที่ช่องอานม้า แท้จริงแล้วอาจเป็นการเบี่ยงเบนเรื่องของการปราบปรามสแกมเมอร์ก็ได้ เนื่องจากในช่วงเดือนตุลาที่ผ่านมา กัมพูชาโดนทั่วโลกโจมตีอย่างหนักมากเกี่ยวกับเรื่องสแกมเมอร์ ดังนั้นในเมื่อกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์นี้ ไทยก็ควรจะหยิบมันมาตอกย้ำสู่สายตานานาชาติไปเลยว่า “ทำไมกัมพูชาต้องวางทุ่นระเบิดเพิ่มหลังจากลงนามปฏิญญาสันติภาพและในช่วงที่กำลังโดนเล่นงานเรื่องสแกมเมอร์อย่างหนัก” เพื่อชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาต้องการจะรุกรานยึดครองดินแดนไทยและไม่ใช่ประเทศที่น่าเชื่อถือในแง่ของการสร้างปฎิสัมพันธ์ด้วย
หากกระทรวงการต่างประเทศของไทย ทำให้นานาชาติรับรู้ได้สำเร็จ กัมพูชาจะถูกปฏิบัติจากนานาชาติต่ำกว่าประเทศอื่น ด้วยการใช้กฎหมายบังคับ แทนที่จะเป็นการขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามข้อตกลง แล้วถึงวันนั้นไทยจะสร้างความได้เปรียบขึ้นอีกระดับนึง แต่เท่าที่ตนเห็น ตอนนี้ "นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว" รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ เริ่มฟอร์มแผ่ว
ดังนั้น "นายอนาลโย" จึงบอกว่าการโพสต์ของ "นายอนุทิน" เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา หลังได้รับสายโทรศัพท์จาก "นายอันวาร์" และ "โดนัลทรัม" นั้น ถือว่าเขียนได้ถูกต้อง เพราะสักขีพยานทั้งสองประเทศว่าควรจะได้รับรู้ว่าตอนนี้คนไทยหมดความอดทน ผิดหวังและหมดความเชื่อมั่นในกัมพูชาว่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่จริงใจอีกต่อไป และยังเป็นตอกย้ำไปอีกว่าในกระบวนการที่ทั้ง 2 ประเทศพยายามช่วยสร้างขึ้นมานั้น ไม่ได้ผลเลย เพราะกัมพูชาละเมิดข้อตกลง
แล้วสิ่งที่ "นายกอนุทิน" ควรจะทำนอกเหนือจากการโพสต์ครั้งนี้ นั่นคือการประกาศข้อเรียกร้องเพิ่มเติมให้กัมพูชาทำบางอย่างเพื่อแสดงความจริงใจและขอให้ไทยกลับสู่โต๊ะเจรจา โดยเบื้องต้นสามารถทำได้เลย 2 ข้อคือ
1.ให้กัมพูชาแถลงยอมรับและขอโทษต่อประเทศไทย รวมถึงประชาคมโลก ที่ละเมิดปฏิญญาสันติภาพ
2.ให้กัมพูชาแถลงว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข หากไม่ปฏิบัติตาม ประเทศที่เข้ามาเป็นสักขีพยานทั้งมาเลเซียและสหรัฐอเมริกา จะต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน
โดย 2 ข้อนี้ไม่ใช่การเรียกร้องที่เกินเลย แต่เป็นการดำเนินการอย่างมีอารยะ ที่จะทำให้ไทยมีแรงบีบต่อกัมพูชามากขึ้น แล้วกัมพูชาก็จะถูกล้อมจากทุกทิศทาง ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและเงื่อนไขทางการทูต ดังนั้นหากกัมพูชายังละเมิดอีก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงมาก แต่นั่นจะเป็นความชอบธรรมของไทยล้วนๆที่จะใช้กำลังทางทหารในการสู้รบกลับไป และจะทำให้ประเทศอื่นๆโดยเฉพาะคู่เจรจาอย่างสหรัฐและมาเลเซียเกิดความตระหนักในกฎระเบียบระหว่างประเทศที่มีลายเซ็นของพวกคุณอยู่ แล้วหันมายืนอยู่ข้างไทย มากกว่าข้างกัมพูชาที่ทำให้ประเทศคู่เจรจาเสียหน้า
พร้อมกันนี้ "นายอนาลโย" ยังพูดถึงกรณี "นายกอนุทิน" โพสต์ในข้อที่ 10 ที่มีการโทรศัพท์คุยกับ "โดนัลมรัมป์" เพื่อขอลดอัตราภาษีให้กับประเทศไทยมากกว่า 19% โดยอ้างว่าหากมันต่ำพอ เราก็คงจะไม่ไปคุยกันอีกรอบที่เกาหลีใต้หรอก และปรากฏว่า "โดนัลทรัมป์" ได้ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจกลับมา คือเขาจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ หากไทยดำเนินการกู้ทุ่นระเบิดได้เร็ว นั่นหมายความว่า "โดนัลทรัมป์" ต้องการที่จะรักษากลไกปฏิญญาสันติภาพ เพราะ 1 ใน 4 ข้อคือการ ร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ดังนั้นเราก็ควรจะทำตามที่ร้องขอมา เพราะตนเชื่อว่ายังไงกัมพูชาก็คงทำเหมือนเดิม นั่นคือไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งไทยเราก็จะได้นำประเด็นนี้มาบอกกับ "โดนัลทรัมป์" ว่าเราพยายามเร่งแล้ว แต่กัมพูชาไม่ร่วมด้วย ซึ่งถ้าเราทำแบบนี้ เผลอๆอาจจะได้ 2 ต่อคือทั้งอัตราภาษีที่ลดลงจาก 19% เป็น 17% รวมถึงยังได้ความชื่นชมจากสหรัฐด้วย แต่หลังจากนั้นเราก็ควรจะรายงานความผิดปกติจากการละเมิดโดยกัมพูชาพร้อมหลักฐานไปให้กับสหรัฐอเมริกาเรื่อยๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่ากัมพูชายังละเมิดต่อเนื่อง แล้ววันใดที่กัมพูชาถูกขึ้นภาษีจาก 19% เป็น 25% เมื่อไหร่ ถือว่าไทยเราประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งด้วย
โดยสรุปแล้ว “นายอนาลโย” ถือว่าครั้งนี้ “นายกอนุทิน” แก้เกมได้ดี หลังจากก่อนหน้านี้เคยหักหน้า “โดนัลทรัมป์” ไปรอบนึง แล้วครั้งนี้หากกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอีก ก็เท่ากับว่าฉีกหน้า “โดนัลทรัมป์” และ “นายอันวาร์”
Advertisement