
"รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร" นักวิชาการอิสระ , ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ได้ให้สัมภาษณ์ถึง 3 ตัวเลือกของประเทศไทยที่จะสามารถทำสงครามกับประเทศกัมพูชาหลังประกาศเดินออกจากข้อตกลงสันติภาพและมีการสั่งเตรียมพร้อมของกำลังพลอย่างเต็มที่
1.สงครามเต็มรูปแบบ ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ด้วยการเข้าไปทำให้กัมพูชาเสียสภาพการเป็นภัยหรือปรปักษ์ทางด้านการเมืองและด้านการทหาร รูปนี้ไทยต้องใช้กำลังพลเยอะมากในการควบคุมทั้ง 2 ด้าน ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2521 ประเทศเวียดนามเคยทำกับกัมพูชามาแล้ว ตอนนั้นใช้กำลังทหารนับแสนนาย (150,000-200,000) และเสียชีวิตนับหมื่นนาย (30,000) แต่ก็สามารถควบคุมกัมพูชาเอาไว้ได้ด้วยการปลด “นายพอลพต” ให้สิ้นสภาพของการเป็นภัย ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเวียดนาม ส่วนกัมพูชาก็เสียกำลังพลทหารไปกว่าแสนนาย
แต่แม้ว่าเวียดนามจะคงสภาพการยึดครองกัมพูชาไว้ได้ประมาณ 10 ปี แต่ก็มีปัญหาตามมาเยอะ เพราะตอนนั้นไทยกับพันธมิตรและสหรัฐฯร่วมกันคว่ำบาตรเวียดนาม ปิดล้อมและส่งกำลังให้มีการสู้รบในสงครามกลางเมือง จนเวียดนามต้องตกลงยุติในการเข้าไปครอบครองกัมพูชา รวมถึงถอยกำลังทหารชุดที่รบชนะออกมาเพื่อลดการเป็นปรปักษ์ และเข้าสู่การเจรจาสันติภาพที่ปารีสในปี 2534 ให้สหประชาชาติจัดกองกำลังรักษาสันติภาพนับหมื่นนายเข้าไปควบคุมแทนด้วย
ซึ่งในรูปแบบนี้ ความเป็นไปได้ยังมีไม่มากนัก แต่ปัจจุบันถือว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้น เพราะคนไทยจำนวนมากไม่สามารถอดทนต่อการถูกกระทำจากกัมพูชาได้อีกแบ้ว บวกกับถ้าไทยเรามีเป้าหมายให้กัมพูชาสิ้นภัยคุกคามจริงๆ ก็ต้องเดินในรูปแบบนี้ แม้ว่าจากสงครามครั้งนั้น จะมีบทเรียนหลายอย่างให้เราได้จดจำก็ตาม
2.สงครามขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เป็นสงครามที่เกิดการสู้รบแบบต่อเนื่องและแต่จำกัด นั่นคือรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อาทิ การปะทะเฉพาะตรงแนวชายแดน การที่กัมพูชาลักลอบวางทุ่นระเบิด การโต้ตอบด้วยอาวุธแบบมีสัดส่วน แต่รูปแบบนี้จะไม่มีทางทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามแน่นอน ตราบใดที่สองพ่อลูก “สมเด็จฮุนเซ็น” และ “ฮุนมาเน็ต” ยังอยู่ในอำนาจทางการเมืองกัมพูชา
รูปแบบนี้ แม้จะทำให้ประชาชนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำมาหากินในพื้นที่ตัวเองไม่ได้แบบปกติสุข รับผลกระทบต่อการค้าขายและการลงทุนจากการปิดด่าน แต่ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถประคองตัวเอาไว้ได้ ซึ่งระหว่างนั้นรัฐบาลไทยก็ต้องหาหนทางกดดันให้กัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาสันติภาพภายใต้กรอบใหม่ที่เคร่งครัดกว่าเดิม
3.สงครามที่ได้รับการแทรกแซงโดยมหาอำนาจ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว จากการออกแถลงการณ์ของสหรัฐและจีน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะไม่เลือกอยู่ข้างไทยและต้องการให้ยุติการเผชิญหน้า แล้วประเด็นนี้สำคัญกับไทยมาก เพราะสหรัฐเป็นประเทศที่ส่งกำลังบำรุงให้ทหารไทย และอัตรามาตราภาษี ดังนั้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา กรณีที่ไทยมีท่าทีเหมือนจะไม่อยากคบค้าสมาคมกับสหรัฐ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย เราควรจะปรับตัวแล้วหาสมดุลใหม่ ส่วนจีนก็มีเรื่องของการส่งกำลังบำรุงให้กับกัมพูชาตามเงื่อนไข
ซึ่งถ้าทั้ง 2 ประเทศนี้กดดันให้ไทยและกัมพูชายุติสงคราม เพื่อไม่ให้กระทบห่วงโซ่ในการผลิตสินค้าและบริการหรือชิงความได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของยุทธศาสตร์ทางทหาร เขาก็จะเข้ามาแทรกแซงโดยตรง ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่มันกำลังเกิดขึ้น ถ้าหากมองถึงผลดี ก็จะทำให้ไทยและกัมพูชาลดละเลิก ถอยห่างกันไป แล้วไทยก็ต้องชิงให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจ เพื่อขอความร่วมมือบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ถึงว่าสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามอยู่ดี
ส่วนกรณีที่สื่อหลักของมาเลเซีย แปลข้อความในข่าวผิดเกี่ยวกับประเด็นทุ่นระเบิดที่เจอบริเวณห้วยตามาเรีย จุดที่ทหารไทยไปเหยียบแล้วเสียขาที่ 7 นั้น ด้านของ "รศ.ดร.ปณิธาน" มองว่าจริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่นักวิชาการของมาเลเซียเองก็มีข้อสงสัยเยอะมากเกี่ยวความเป็นกลางของมาเลเซีย ทั้งๆที่ปกติแล้วนักวิชาการของมาเลเซียมักจะถูกปิดปากด้วยกฎหมายควบคุมความมั่นคง ทั้งนี้เพราะในปัจจุบันทุกประเทศล้วนเลือกข้างเพื่อประโยชน์ของการลงทุน การค้าขายและเรื่องของแร่ธาตุที่หายาก แต่เรื่องที่มาเลเซียต้องทำคือการรักษาสมดุลของอาเซียน
ประธานหมุนเวียน 2 ครั้งที่ผ่านมาตลอดช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2551 และ 2554 คืออินโดนีเซียและมาเลเซีย สิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีนั่นคือไม่ยอมให้ใครเข้ามาแทรกแซงการทำงาน แล้วให้ไทยกัมพูชาไปจัดการปัญหาของตนเอง พร้อมกับประกาศต่อสหประชาชาติด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าปัจจุบันประเทศประธานมีการเปิดประตูให้มหาอำนาจและประเทศตัวเองเข้ามาแทรกแซง แสดงบทบาทที่ไม่เหมาะสม
ดังนั้นตอนนี้ไทยต้องมองไปข้างหน้า เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ ฟิลิปปินส์จะเข้ามาเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน แล้วฟิลิปปินส์เป็นพันธมิตรทางการทหารของไทยตามข้อตกลงป้องกันประเทศร่วมกับสหรัฐในสนธิสัญญามะนิลา ในฟิลิปปินส์ไม่พอใจและไม่ยอมรับในพฤติกรรมของกัมพูชาในหลายกรณีมานานแล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้รับข้อเท็จจริง บวกกับฟิลิปปินส์สนิทกับสหรัฐ เพราะมีฐานทัพสหรัฐไปเช่าพื้นที่เกือบ 10 แห่งในฟิลิปปินส์ อีกทั้งฟิลิปปินส์ยังต้องการให้ไทยให้ความสำคัญกับเรื่องของทะเลจีนใต้มากขึ้นด้วย ดังนั้นนี่อาจเป็นหนึ่งในข้อเสนอของไทย และไทยต้องเร่งประสานดึงฟิลิปปินส์ให้มาอยู่ฝั่งเดียวกัน เพื่อทำให้ฟิลิปปินส์มีความเป็นกลาง สร้างความสมดุลย์ในอาเซียนกลับมา
ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไทยทำสำเร็จ เราก็อาจจะไม่ต้องไปเลือกสงครามรูปแบบแรกคือสงครามเบ็ดเสร็จ ซึ่งมันจะทำให้เกิดความสูญเสียเยอะมากและยาวนาน แล้วทางเลือกสงครามรูปแบบที่ 2 และ 3 ก็ยากที่จะเป็นไปได้ เพราะตอนนี้เราอยู่ในสภาวะสงครามไปแล้วและเราไม่ได้มีเพื่อนมากขนาดนั้น
และจากที่ตนเพิ่งไปประชุมในประเทศฟิลิปปินส์ ร่วมกับ “นายพัน กี-มุน” อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ร่วมประชุมส่วนใหญ่ให้ความสนใจเรื่องไทย-กัมพูชาเยอะมาก หลายคนสงสัยว่าทำไมไทยถึงเดินออกจากข้อตกลงสันติภาพ? แล้วเส้นทางของเราจะทำยังไงต่อ? ซึ่งส่วนตัวมองว่าเรื่องแบบนี้ไทยไม่ควรจะไปต่อคำถามในการประชุมเวทีโลก เพราะโลกต้องไปถามกับกัมพูชาว่าทำไมถึงละเมิดข้อตกลงด้วยการวางทุ่นระเบิด
นอกจากนี้ "รศ.ดร.ปณิธาน " ยังพูดถึงกรณีที่ "นายอันวาร์" ออกมาให้ข่าวว่ามีการโทรศัพท์พูดคุยกับ "นายกอนุทิน" เพื่อให้กลับสู่โต๊ะเจรจากับกัมพูชานั้น ตนมองว่า "นายอันวาร์" แค่ต้องการรักษาบทบาทประธานหมุนเวียนอาเซียนเอาไว้ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่สุดท้ายทางการเมืองของเขาด้วยซ้ำ ทั้งที่ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเขาเอง เพราะมาเลเซียมีบริษัทใหญ่ที่ไปลงทุนอยู่ในกัมพูชาเยอะ มันเป็นประตูเดียวกับที่สหรัฐพยามจะเปิดเข้าไปด้วย
ขณะเดียวกันการที่ “นายอันวาร์” ออกมาผลักดันให้ทั้ง 2 ประเทศกลับสู่โต๊ะเจรจามันก็มีเรื่องดี เพียงแค่ไทยต้องตั้งเงื่อนไขว่า "นายอันวาร์" ต้องมีมาตรการในการลงโทษกัมพูชาให้ชัดเจน พร้อมกับจัดทีม AOT เพื่อไม่ให้มีปัญหาการเข้าพื้นที่โดยไม่ประสานงานกัน หรือการทำรายงานที่ไม่สอดคล้องกันแบบปัจจุบัน
แต่อะไรก็ตามไทยก็ยังคงยึดมั่นในจุดยืนเดิม นั่นก็คือการไม่กลับเข้าสู่โต๊ะเจรจากับกัมพูชาโดยมีตัวกลางอีก แล้วเข้าสู่การพูดคุยแบบทวิภาคี แม้ว่าท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ มันจะยากที่สุดก็ตาม
Advertisement