
วันนี้ (11 พ.ย. 68) ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากเมื่อวานนี้เกิดเหตุ “ทหารเหยียบระเบิด” จนข้อเท้าขวาขาด 1 นาย และอีก 1 นายมีอาการแน่นหน้าอก เหตุเกิดในพื้นที่ห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ
รศ.ดร.ดุลยภาค บอกว่า หากมีการพิสูจน์ทราบแล้วพบว่าเป็นระเบิดใหม่ นั่นก็คือกัมพูชาละเมิดข้อตกลง และไม่มีคุณสมบัติพอเพียงสำหรับผู้พัฒนาสันติภาพ หรือสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประเทศไทยหรือกับนานาชาติได้ เพราะที่ผ่านมากัมพูชาทำผิดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำซาก ไม่ว่าจะเป็นในเอ็มโอยู หรือในประกาศความสัมพันธ์ที่ไปลงนามที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งไม่ได้มีบทลงโทษใด ๆ กับประเทศที่ละเมิดสันติภาพเหล่านี้ ทำให้กัมพูชาละเมิดมาโดยตลอด
กรณีที่ “บิ๊กเล็ก” ออกมายืนยันแล้วว่าทุ่นระเบิดที่ทหารเข้าไปเหยียบล่าสุดเป็นทุ่นระเบิดใหม่ รศ.ดร.ดุลยภาค บอกว่า การพิสูจน์ข้อเท็จจริงจะต้องมีคณะกรรมการสอบสวนจากทั้งสองประเทศ และจากชาติที่เป็นกลางจริง ๆ ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลานานมาก กว่าผลจะออกก็อาจมีทหารไทยได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น แต่จากพฤติกรรมในอดีต ฝั่งไทยใช้หลักการเชิงประจักษ์มาโดยตลอด ไม่ทำข่าวเท็จ และจากข้อมูลที่มีอยู่ก็ชัดเจนว่าทหารกัมพูชามักเข้ามาตัดรั้วลวดหนาม วางทุ่นระเบิด แล้วอ้างว่าเป็นของเก่า
รศ.ดร.ดุลยภาค ยังพูดถึงกรณีที่หลังเกิดเหตุเหยียบทุ่นระเบิด ยังได้ยินเสียงปืนเล็กตามแนวชายแดน ว่าในวันเดียวกันนั้น กัมพูชามีการเดินสวนสนามของกองทัพ ซึ่งสอดคล้องกับการเฉลิมฉลองของชาติกัมพูชาแบบเอิกเกริก โดยไม่ทราบเจตนารมณ์ที่แท้จริง แต่พบว่ามีคลิปของทหารกัมพูชาแสดงความสะใจที่สามารถวางระเบิดทหารไทยได้ สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์แบบสงครามกองโจรที่กัมพูชาถนัด ขณะที่ทหารไทยยังคงเป็นสุภาพบุรุษมาโดยตลอด
ส่วนการประชุมของ สมช. ในช่วงเช้า รศ.ดร.ดุลยภาค ระบุว่า ต้องทำให้ชัดเจนระหว่างคำว่า “ชะลอ” กับ “ยกเลิก” เพราะหากใช้คำว่าชะลอ หมายถึงการระงับชั่วคราว เมื่อกัมพูชาไม่ปฏิบัติตาม ไทยก็จะไม่ปฏิบัติตาม แต่หากเป็นการยกเลิก ข้อตกลงทั้งหมดที่ลงนามกันไว้ เช่น ที่ประเทศมาเลเซีย ก็จะใช้ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งรัฐบาลต้องทบทวนข้อดีข้อเสียให้รอบคอบ
รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า ทางประเทศไทยเอง หากจะดำเนินแนวทางที่คล้ายกันเพื่อปกป้องชีวิตทหารหรืออธิปไตยของเราให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ก็เพื่อสั่งสอนกัมพูชา และกดระดับการคุกคามให้ลดลง จนไม่สามารถเข้ามาทำร้ายคนไทยได้ โดยแนวทางที่เหมาะสมที่สุด หากจำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหาร คือการตีเป้าหมายไปที่ “ปราสาทตาควาย” เพราะถือเป็นพื้นที่ที่ไทยเสียไป และกัมพูชาทำผิดข้อตกลง รวมถึงละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ที่ห้ามตั้งฐานทหารบนโบราณสถาน
ส่วนประเด็นเรื่อง “ทุนจีนเทา” อยู่เบื้องหลัง รศ.ดุลยภาค บอกว่า เป็นเรื่องที่เกินจริง เพราะผู้ปฏิบัติการในพื้นที่คือทหารกัมพูชา และต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
สำหรับกรณีที่กัมพูชาขอให้สื่อต่างชาติอย่าบิดเบือนข่าว รศ.ดุลยภาค บอกว่า ในระยะแรกที่มีการประทะกัมพูชากลับเผยแพร่ข่าวปลอมโจมตีประเทศไทยหลายเรื่อง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรม พร้อมระบุว่า ไทยมีอำนาจต่อรองสูงกว่า ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเปิด-ปิดด่าน และพลังงาน เพียงแต่ตอบโต้ข่าวสารได้ช้ากว่าเท่านั้น
ท้ายสุด รศ.ดุลยภาค กล่าวว่า เมื่อไม่มีความยุติธรรม ไทยจำเป็นต้องปกป้องความยุติธรรมด้วยตนเอง แต่หากจะใช้มาตรการแข็งกร้าวต่อกัมพูชา ต้องเตรียมคำอธิบายให้ประชาคมโลกเข้าใจ ไม่สนับสนุนการใช้กำลังแบบสุดโต่งหรือบุกถึงกรุงพนมเปญ แต่หากเป็นการใช้กำลังในขอบเขตเพื่อป้องกันตนเอง เช่น บริเวณปราสาทตาควาย ก็ถือเป็นการทำเพื่อรักษาสันติภาพ เพราะกัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง
Advertisement