
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2568) ที่ห้องแถลงข่าวอาคารรัฐสภา เวลา 13.30 น. นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ แถลงภายหลังจากการประชุม กมธ.ความมั่นคง
โดยนายรังสิมันต์ เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในปัญหาการฟอกเงินทุนกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือสแกมเมอร์ในประเทศไทย ที่มีความเชื่อมโยงกับ BIC Group, BIC Bank และนายยิม เลียก โดยรอบนี้เน้นไปที่นายยิม เลียก โดยภาพรวมได้เห็นความคืบหน้าหลังจากที่ ใช้เวลากับการประชุมมาหลายครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 และได้เห็นความคืบหน้าบางประการแต่ยังไม่น่าพอใจและไม่เท่าทันสถานการณ์
โดยวันนี้ได้เชิญนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้ามาชี้แจง แต่นายกฯ ไม่ได้มา และได้มอบหมายกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยและดีเอสไอเข้ามาเป็นผู้ชี้แจงแทน
นอกจากนี้ได้มีการเชิญ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธาน ปปง. เข้ามาชี้แจง แต่ได้รับการชี้แจงว่าไม่สบายและได้มอบหมายผู้แทนของ ปปง. มาชี้แจงแทน ซึ่งทางกรรมาธิการความมั่นคง ได้เชิญพลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผบ.ตร. ปรากฏว่าได้มอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์ (สอท.) มาชี้แจงแทน
เป้าหมายแรกของการตรวจสอบ คือ กรณี เบน สมิธ ในประเด็นเรื่องของสัญชาติ นายเบน สมิธ มีหลายสัญชาติ แต่ไม่ลงรายละเอียด แต่ขั้นตอนของการขอสัญชาติได้สิ้นสุดลงแล้ว คือได้มีการส่งคำร้องคืนไปยังผู้ขอ เนื่องจากว่ามีความพยายามในการตกแต่งบัญชีการยื่นภาษี ทำให้ไม่สามารถที่จะขอสัญชาติได้ โดยที่หน่วยงานของรัฐเจอข้อมูลเหล่านี้ จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะขอสัญชาติได้ แต่เราพบหลักฐานบางประการ ซึ่งอาจจะดำเนินคดีบางอย่างเพิ่มเติมได้อีก
ต่อมากรณี นายก๊ก อาน จริง ๆ ไม่ได้มีสัญชาติไทย แต่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในประเทศไทย ซึ่งวันนี้ที่ประชุมมีการพูดคุยกัน และนำไปสู่ข้อสรุปว่าหลังจากนี้จะมีการถอนใบถิ่นที่อยู่ถาวร ซึ่งสถานะปัจจุบันของนาย ก๊ก อาน ถูกเรียกหมายแดง จากตำรวจสากลไปแล้ว 3 หมาย ซึ่งสิ่งที่จะต้องไปพิจารณากันต่อก็คือ หลังจากนายกรัฐมนตรี จะมีการประสานงานกับทางกัมพูชาให้มีการส่งตัวนายก๊ก อานเพื่อดำเนินคดีในประเทศไทยอย่างไร
ขณะที่ชื่อที่ 3 ที่มีการพูดคุยกันในที่ประชุม คือ นาย ลียง พัค ปัจจุบันได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่ามีการถอนสัญชาติแล้ว แต่อยู่ในระหว่างการอายัดทรัพย์สินต่อไป
สำหรับนายยิม เลียก ยังไม่ได้มีข้อมูลเพิ่มเติมแต่ทาง ปปง. มีแค่ข้อมูลเก่าในการยึดอายัดทรัพย์ แต่ภายหลังมีการถอนยึดอายัดไปแล้ว แต่จะมีการดำเนินการตรงจสอบเรื่องนี้
นายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่าก่อนหน้านี้ 3 ครั้งที่ผ่านมา ปปง. พูดมาตลอดว่า ไม่สามารถริเริ่มดำเนินการได้ด้วยตัวเอง จะต้องดำเนินการโดยให้มีคดีมูลฐานก่อน แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่า ปปง. ได้เริ่มนับหนึ่งและได้เริ่มขั้นตอนการประสานงาน และจะดำเนินการในเรื่องที่ทางกรรมาธิการเป็นห่วงเป็นใยของปัญหาเรื่องทุนเทายึดประเทศ
โดย หลังจากนี้ทางกรรมาธิการความมั่นคงจะมีการทำหนังสือ รวบรวมรายชื่อ 43 รายชื่อ แบ่งเป็นทั้งคนธรรมดาและนิติบุคคล ในการยื่นส่งให้หน่วยงานต่างๆเพื่อให้มีการตรวจสอบ รวมไปถึงขึ้นเป็นแบล็คลิสต์ว่าเป็นบุคคลที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ และต้องตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวพันกับแก๊งสะแกเมอร์ มากน้อยเพียงใด
ส่วนเรื่อง Prince Group ปัจจุบันอยู่ในการตรวจสอบยังไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากมีผู้ต้องสงสัยที่เป็นชาวไต้หวันแต่ความคืบหน้าในเชิงรายละเอียด และยอมรับว่าหน่วยงานต่างๆยังไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควรจะเป็น แต่คาดหวังว่าจะเห็นความก้าวหน้ากว่านี้ เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่มีความร้ายแรง
ส่วนความสัมพันธ์กับนายเบน สมิธ กับยิม เลียก นายสถิตย์รู้จักกับพ่อนายยิม เลียก เท่านั้น และไม่มีความรู้จักส่วนตัวระหว่างเบน สมิท เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง
นอกจากนี้ จะมีการตรวจสอบต่อในเรื่องของ Huione Pay มีทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับประเทศไทย ที่เป็น Private Wallet มูลค่า 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท ชื่อว่าซึ่งตนเชื่อว่าเป็นเงินที่เกี่ยวพันกับสแกมเมอร์
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการทำหนังสือเชิญมาชี้แจงเพิ่มเติม หรือไม่ นายรังสิมันต์ บอกว่า หลังจากนี้หนังสือเชิญไป แต่ไม่พ้นนายกรัฐมนตรีแน่ ๆ พร้อมทั้งระบุว่า “พอ ๆ กับท่านธรรมนัส ก็คือนายกฯ นี่แหละ ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเหมือนกัน” อีกทั้ง วันนี้ก็เห็นข่าวว่านายกฯ เซ็นเช็คเปล่าให้หน่วยงานว่ากันไปเลย ซึ่งเมื่อถาม ปปง. ว่านายกฯ สั่งการอะไรเพิ่มเติมเรื่องปราบสแกมเมอร์ไปบ้าง ปรากฏว่าทาง ปปง. ตอบไม่ได้ ซึ่งความหมายทที่ตอบไม่ได้เพราะนายกฯ ไม่ได้สั่งการเป็นเฉพาะเจาะจง ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง จึงทำให้การแก้ปัญหาทุนเทาเป็นไปด้วยความล่าข้า ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อประชาชน
ยกตัวอย่าง การตั้งทนายความของ นายเบน สมิธ มาเป็นข้าราชการการเมือง แม้จะอ้างว่าเป็นโควตาพรรคการเมือง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาที่พี่น้องประชาชนเขามอง เขาจะมองว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงไม่คิดจะห้ามปรามหรือดำเนินการเพื่อไม่ให้ทนายความของนายเบน สมิธ เข้าไปเกี่ยวข้องมีตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ และถามว่าหลายประเทศยังมองประเทศไทยเป็นพันธมิตรในการแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ หากไทยยังช้าแบบนี้ไปเรื่อย ๆ วันข้างหน้าเขาจะมองว่าประเทศไทยนี่แหละที่ไปเกี่ยวพันกับสแกมเมอร์อย่างแท้จริง โดยมี ฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้อง
Advertisement