
(5 พ.ย. 2568) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เรื่อง ร่างสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดย ร่างดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา รวมทั้งความร่วมมือด้านการยุติธรรมและการปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศภาคี ซึ่งเมื่อมีผลใช้บังคับระหว่างรัฐสมาชิกอาเซียนแล้วจะนำไปสู่ดำเนินความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมภายในภูมิภาคอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของความเคารพอธิปไตย ความเท่าเทียม และผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
"คือถ้าดูตามเนื้อหาของมันคือดีครับ ความร่วมมือในอาเซียนเพื่อการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน เพื่อพัฒนาระบบการส่งกลับพวกอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งค์คอลเซนเตอร์และสแกมเมอร์ ซึ่งผมเห็นว่าถ้าจะให้ร่างสนธิสัญญานี้มันตรงวัตถุประสงค์ที่สุดต้องเน้นว่า เพื่อประโยชน์ทางการปราบปรามและจัดการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เป็นความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และความผิดฐานฟอกเงิน เท่านั้น"
นายกัณวีร์ ระบุว่าสาระสำคัญของสนธิสัญญาฉบับนี้ จะสะท้อนเจตจำนงทางกฎหมายที่ชัดเจนของร่างสนธิสัญญานี้จริงๆ เพราะมิเช่นนั้น สนธิสัญญาฉบับนี้จะถูกใช้ผิดเจตนารมณ์ โดยเฉพาะไปปรับใช้กับ "การกดปราบข้ามชาติอย่างจงใจ" (Deliberate Suppression of Transnational Repression) เรื่องนี้เรื่องใหญ่มากนะครับ ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะไทย เมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม เป็นประเทศที่มีสถานการณ์การกดปราบข้ามชาติ (Transnational Repression-TNR) มากที่สุดภูมิภาคหนึ่งของโลก
"เป็นการที่รัฐต่อรัฐมีความร่วมมือในการตามล่าผู้ที่ถูกประหัตประหารจากประเทศต้นกำเนิด ด้วยเหตุผลตามคำนิยามของการเป็นผู้ลี้ภัย ตามอนุสัญญาผู้ลี้ภัย แล้วทำการจับกุมคุมขังพร้อมทั้งร่วมมือในการผลักดันอย่างไม่สมัครใจ ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยกลับไปประเทศต้นกำเนิด ทำให้พวกเค้าต้องกลับไปเผชิญการประหัตประหารอีกครั้ง หลายคนตาย หลายคนทรมาน อาทิ กรณีชาวอุยกูร์ ชาวกัมพูชาที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยแล้วแต่กลับถูกผลักดันโดยไทยตามคำขอของกัมพูชา ชาวเขา Montagnade จากเวียดนามที่ไทยตามล่าจับและผลักดันกลับ ชาวเมียนมาที่ลี้ภัยหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2564 แล้วไทยจับผลักดันกลับ และนักกิจกรรมทางการเมืองฝ่ายค้านของลาวที่ไทยจับและก็ผลักดันกลับ"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า หากไม่ทำให้ร่างสนธิสัญญานี้ครอบคลุมยิ่งขึ้น สนธิสัญญาฉบับนี้จะเป็นข้อตกลงร่วมพหุภาคีของอาเซียนที่พร้อมจะทำลายเหตุผลและหลักการมนุษยธรรม และผิดหลักจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (International Customary Law) เรื่องหลักการไม่ส่งกลับ (Non Refoulement) ทันที
"ไทยต้องมองให้ออกและนำเสนอว่า ร่าง สนธิสัญญาฯ นี้มันดีนะ แต่จะทำให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ต้องกล้าบอกว่าร่างกฎหมายระหว่างประเทศของพวกเราอาเซียนนี้ ต้องไม่ถูกบังคับใช้กับกรณีใดๆ ที่ขัดกับหลักกฎหมายจารีตประเพณีสากลใดๆ โดยเฉพาะด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน มิใช่แค่เพียงกล่าวสั้นๆ ว่า ไม่เกี่ยวคดีการเมือง ซึ่งมันไม่พอและดูไม่ค่อยฉลาด"
นายกัณวีร์ กล่าวด้วยว่า เราต้องเป็นผู้นำในการเมืองระหว่างประเทศให้ได้ นำเสนอสิ่งที่โลกเห็นว่าเป็นผลดีต่อมวลมนุษยชาติ และต้องตั้งหลักว่าไทยจะเป็นผู้นำในเวทีโลก เราเป็นประเทศระดับกลาง เพราะฉะนั้น เรานำในเรื่องมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนเถอะครับ ลงทุนน้อยแต่กำไรมหาศาล
"เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เราต้องไม่ตกหลุมพรางของการสร้างเครื่องมือระหว่างประเทศที่เป็นมัจจุราชต่อมนุษยชาติด้านมนุษยธรรม ในกรณีการกดปราบข้ามชาติ หรือ TNR ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีการขอตัวนักโทษในไทยจากเพื่อนบ้านไม่ต่ำกว่า 100 ราย" นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ
Advertisement