
วันที่ 31 ต.ค. 68 ที่บ้านพระอาทิตย์ นาย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน กล่าวตั้งข้อสังเกต MOU2543 อาจจะเป็นโมฆะตั้งแต่แรกว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจากที่เราให้เหตุผลไปก่อนหน้านี้ว่าสมควรจะยกเลิก MOU254 มีทั้งหมด 8 ประเด็น
1.MOU2543 ได้มีการกำหนดแผนที่ 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสเพียงฝ่ายเดียวและแอบอ้างเป็นผลงานของคณะกรรมการปัดปั่นสยามฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1904 และปี 1907 ทั้งๆที่ไม่มีฝ่ายสยามเป็นผู้ลงนามรับรองมาก่อน และแผนที่ฉบับนี้เป็นแผนที่ที่ขีดเส้นเขตแดนผิด
2.MOU2543 ได้มีความต่อเนื่องโดยทีโออาร์ 2546 ซึ่งกำหนดไว้หลายข้อ มีการกำหนดแผนที่ฉบับใหม่ให้อ้างอิงตามแผนที่ 1:200,000 ด้วยซึ่งเราเห็นว่าเป็นการล็อกสเปคอยู่ดี
3. พอมีกลไกล JBC กัมพูชา อาศัยสิทธิอ้างเรื่องแผนที่ 1:200,000 รุกล้ำแผ่นดินไทยจริง ในทางปฏิบัติ
4.MOU 2543 กำลังเปลี่ยนหลักการใหม่ โดยการให้ประเทศไทยกำลังถูกตีความว่าเรากำลังจะสละหลักขอบหน้าผาไปเป็นสันปันน้ำในวิธีอื่น เช่น อาจหมายถึงแผนที่1:200,000 ก็ได้ ซึ่งประเด็นนี้สำคัญเพราะเราเพิ่งค้นพบคำคัดค้านของฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร วันที่ 2 ก.พ. 2505 ว่าถ้าไม่นับเรื่องแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำฝ่ายเดียวแล้ว หลักฐานบันทึกการประชุมหลายครั้งประธานฝ่ายฝรั่งเศสยอมรับให้ใช้สันเขาที่มองจากตีนภูเขาขึ้นมา เป็นเส้นพรมแดนระหว่างสยามฝรั่งเศสไม่ใช่สันปันน้ำหลังหน้าขอบหน้าผา
5. เจตนารมย์ของบรรพบุรุษที่เราไม่ยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแต่มีการนำแผนที่ฉบับนี้มาใช้เอาไว้ในเอ็มโอยูและทีโออาร์ทั้งที่ศาลโลกไม่ยอมรับแผนที่ฉบับนี้ ซึ่งผิดแต่มาอยู่ใน MOU2543 ทั้งๆที่ศาลโลกไม่ได้ตัดสิน
6. รัฐธรรมนูญกัมพูชาล็อกสเปคให้ใช้แผนที่ 1:200,000 อย่างเดียวโดยไม่ใช้ดุลพินิจอย่างอื่น
7.ทุกครั้งกัมพูชายังรุกล้ำอยู่และพยามให้เกิดข้อพิพาทในทางปฏิบัติ ซึ่งหากมีข้อพิพาทอื่นใดเขาก็จะใช้วิธีชวนศาลโลกหรือยูเอ็นมาช่วยวินิจฉัยเพิ่มเติม
8.มิติกระบวนการทั้งหมด อาจจะผิดกฏหมายตั้งแต่แรก
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า เราหาสิ่งที่มีอยู่แต่เดิม ไม่ใช่ทำสำรวจหาสันปันน้ำใหม่ ซึ่งเมื่อเราทำเช่นนี้แล้วมันมีจุดหนึ่งที่ไม่มีหลักเขต คือช่องสะงำถึงช่องบก 195 กิโลเมตร เราได้มีการตรวจสอบคำคัดค้านของฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2505 สรุปได้ว่าพื้นที่พนมดงรักให้ใช้หน้าผาเป็นเส้นเขตแดน ไม่ใช่สันปันน้ำ ซึ่งจบแค่ขอบหน้าผา เพราะเห็นได้จากการวิเคราะห์ และคำคัดค้านของฝ่ายไทย
พร้อมมองว่าถ้าประเทศไทยยังเดินนหน้าในขณะนี้จะเสียเปรียบในทางปฏิบัติ ซึ่งคือ 25 ปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เรากำลังพบว่า MOU2543 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีข้อสังเกตว่าลายเซ็นนำเข้าเสนอคณะรัฐมนตรี จะเห็นได้ว่าข้อเสนอของสำนักงานเลขานายกรัฐมนตรี ระบุว่า เห็นควรอนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ และนำเรื่องเสนอ เข้าครม.เพื่อทราบต่อไป
ซึ่งปรากฏว่านายกรัฐมนตรีลงนามว่าอนุมัติวันที่ 12 มิ.ย. 2543 ว่าอนุมัติ แต่ยังไม่เข้า ครม. จึงถูกตีความได้ว่านายกรัฐมนตรีอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศด้วยตัวท่านเอง หรืออนุมัติเสนอให้เข้า ครม.เพื่อทราบ แต่ปัญหาคือไม่ได้มีการเสนอเข้า ครม.เพื่ออนุมัติ กลายเป็นว่านายกอนุมัติ แต่ไม่มีมติคณะมนตรีอนุมัติ เพราะคณะรัฐมนตรีแค่รับทราบเท่านั้น
ขณะที่นโยบายของรัฐบาลได้ประกาศว่าจะยกเลิก MOU2543-2544 โดยการทำประชามติ จากการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อเราค้นพ้นความจริงว่า MOU2543 อาจจะขัดต่อกฎหมายหรือเป็นโมฆะ ซึ่งจะเอาสิ่งที่เป็นโมฆะและขัดต่อกฎหมายไปทำประชามติได้เลยหรือไม่
นายปานเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากร้องขอนายกรัฐมนตรี ให้ความกระจ่างแจ้งและตรวจสอบให้ดี ก่อนที่จะมีการใช้งบประมาณทำประชามติในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งตัวท่านอาจจะต้องผู้รับผิดชอบ ถ้าสมมติมีการใช้งบประมาณในสิ่งที่ผิดกฎหมายเหล่านั้น และได้กระทำความผิดไปแล้วและไม่ชอบตั้งแต่ต้น ซึ่งในกรณีเช่นนี้เมื่อความจริงปรากฏรัฐบาลก็ควรที่จะต้องประกาศให้ยุติการใช้เอ็มโอยูเ พราะไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและ ซึ่งตนจะทำหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับรัฐบาลรับทราบว่าควรที่จะยุติด้วยตนเองเอาไปทำประชามติไม่ได้เพราะไม่ถูกกฎหมายตั้งแต่ขั้นตอนแรก
Advertisement