
วันที่ 30 ต.ค.68 ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการทหาร โดยมีนายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรคประชาชน เป็นประธาน เพื่อพิจารณาวาระเงินบริจาค และบทบาทในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้เชิญนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง และพลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก มาชี้แจงในที่ประชุม ซึ่งทั้ง 2 คน ได้เข้าประชุม Video Conference ผ่านระบบ Zoom ก่อนเริ่มประชุม ทางนายกัน จอมพลัง ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าจะขอเข้าสาย 30 นาที ทำให้ที่ประชุมต้องเลื่อนวาระไปประชุมเรื่องอื่น
จากนั้นเวลา 16.25 น. นายกัน จอมพลัง ได้เข้าประชุม Video Conference ผ่านระบบ Zoom โดยได้ชี้แจงว่า ขอใช้เวลาในการชี้แจง 20 นาที เหตุติดงานไลฟ์สดลูกค้า และบอกว่าเพิ่งทราบเมื่อคืนนี้ หลังเสร็จจากไลฟ์สดตอนเวลา 03.00 น.ซึ่งเป็นเวลาค่อนข้างกระทันหัน ซึ่งเวลา 16.30 น. ได้เตรียมเอกสารเบื้องต้น ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงขอรับความอนุเคราะห์ ทั้งทหาร รงใทั้งตำรวจ เช่น ขอรับการอนุเคราะห์ แผ่นเกราะแข็งป้องกันกระสุนระดับ 4 โดยผู้ที่ดำเนินการคือตัวบริษัทเอกชน และหน่วยที่ขอความอนุเคราะห์ โดยมูลนิธิมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับทางบริษัทเจ้าของสินค้าเท่านั้นเอง เป็นผู้ดำเนินการออกเอกสารในการซื้อ โดยตนแค่ไปร่วมถ่ายรูปเวลาที่เวลาที่ร้านส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
เมื่อคณะกรรมาธิการ ถามว่าทราบหรือไม่ว่าเสื้อเกราะเป็นยุทธภัณฑ์ ที่ประชาชน หรือเอกชนไม่สามารถซื้อได้ ซึ่งกัน จอมพลัง ไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ย้ำว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่อยู่แนวหน้าชายแดน และอยู่ระหว่างการรบปะทะ ตั้งแต่ 24 ก.ค.68 ซึ่งหน่วยมีกำลังพลปฎิบัติหน้าที่ควบคุมทางยุทธการ จึงมีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมกำลังพลและอุปกรณ์กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและประชาชน
คณะกรรมาธิการได้พยายามถามว่า กันจอมพลัง ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงิน รู้หรือไม่ว่าจ่ายเงินซื้ออะไร ซึ่งนายกัน บอกว่า มูลนิธิน่าจะทราบว่าของแบบไหน โดยเอาราคามาเปรียบเทียบกัน
ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ถ้าเชื่อตามเอกสารที่แจ้งขอรับความอนุเคราะห์มา มูลนิธิไม่มีทางที่จะรู้ว่าซื้อยุทธภัณฑ์ไม่ได้ เพราะภาวะสงครามไม่ได้เกิดขึ้นเป็นนิจ แต่เมื่อมีหนังสือตราครุฑขอการสนับสนุน ทุกคนอยากจะช่วยเหลือทหาร ส่วนจะซื้อถูกหรือแพง เป็นหน้าที่ของมูลนิธิกับบริษัท ในเรื่องความโปร่งใสหรืออะไรก็ว่ากันไปของบริษัท ซึ่งจุดนี้ต้องมาโฟกัสที่กองทัพว่าควรหรือไม่ ที่จะไปขอรับบริจาคยุทธภัณฑ์ที่เป็นเกรดในการทำสงครามกับมูลนิธิต่างๆ
การขอรับบริจาคอุปกรณ์ทั่วไป เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ตนมองว่าการบริจาคของมูลนิธิเกิดขึ้นได้ในช่วงที่ขาดแคลนจริงๆ เพราะทางภาครัฐต้องทำเรื่องจัดซื้อจัดจ้างใช้เวลานาน มันเป็นประเด็นของภาครัฐต่างหากที่ไปรับบริจาคยุทธภัณฑ์จากภาคเอกชนได้อย่างไร นี่เป็นคำถามที่กองทัพควรจะตอบ
ด้านนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน สอบถามกันจอมพลัง ว่า เพื่อปกป้องตัวเองนายกัน จอมพลัง ควรที่จะส่งเอกสารมาให้กับคณะกรรมาธิการ เพื่อจะได้รู้ว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารที่ออกจากหน่วยงานราชการจริงหรือไม่ และทั้งหมดมีกี่ฉบับ กี่รายการ เป็นประเด็นใหญ่มาก ถ้าของเหล่านี้อยู่ในงบประมาณตั้งไว้ซื้ออยู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ากองทัพโยกเงินอีกทอดหนึ่งมาซื้อของเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นปัญหา และเพื่อเป็นเกราะป้องกันว่า ประชาชนหรือมูลนิธิ นิติบุคคลซื้อยุทธภัณฑ์ จะทำให้มีปัญหามาก
ขณะที่กรรมาธิการได้มีการซักถาม กันจอมพลัง ต่อว่านอกจากซื้อเสื้อเกราะ มีการสร้างฐานเข้าไปในพื้นที่ตามแนวปะทะหรือไม่ ซึ่งนายกัน จอมพลัง บอกว่า มีการเข้าไปในพื้นที่ กระทั่งหลังที่เข้าช่วยทำถนน วันที่มีปัญหาชาวบ้านหลายคนร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่เป็นการสร้างปัญหา และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของประชาชน เนื่องจากเกิดเหตุฉุกเฉินซึ่งไม่ได้มีแค่ตนคนเดียวที่เข้าไปในพื้นที่อัยการศึก
นอกจากนี้ นายกัน จอมพลัง บอกว่ามีการทักมาขอความอนุเคราะห์ สนับสนุนส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โน็ตบุ๊ค เพื่อใช้ในการคำนวนการกดกระสุนปืนใหญ่ เพราะของเดิมสภาพเก่า รวมถึงการสร้างถนนเข้าไปในพื้นที่ เข้าใจว่ากองทัพมีศักยภาพในการทำ แต่อาจจะติดปัญหาขั้นตอนการเบิดจ่ายงบ แต่ในส่วนของมูลนิธิคุยวันนี้ อีก 2 วันก็สามารถดำเนินการได้เลย
อย่างไรก็ตาม กัน จอมพลัง ได้ย้ำกับกรรมาธิการว่า ขออย่าให้การให้ข้อมูลของตนกระทบกับทหารชั้นผู้น้อย และ ถ้ามีโอกาสขอเชิญคณะกรรมาธิการไปดูพื้นที่หน้างานจริง บางฐานมีทหารอยู่ถึง 50-60 นาย แต่มีห้องน้ำใช้เพียงห้องเดียว
นายเอกราช ยืนยันว่า ไม่ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยลำบาก ทั้งหมดเพื่อประสิทธิภาพของกองทัพ จะไม่กระทบกับทหารชั้นผู้น้อยหากส่งเอกสารได้ก็ขอส่งมาให้ กมธ.เลย และยืนยันไม่ได้ตรวจสอบมูลนิธิ แค่ตรวจสอบกองทัพ ขอบัญชีรายการที่บริจาคเข้ามา เพื่อตรวจสอบว่าอยู่ในงบประมาณหรือไม่
ขณะเดียวกัน กมธ.มองว่างานที่มูลนิธิกันจอมพลัง ทำซ้ำซ้อนกับ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) ซึ่งนายกัน จอมพลัง บอกว่า นทพ.มีประโยชน์มากในหน้างาน แต่บางอย่างประชาชนร่วมมือกับทหารรวดเร็วกว่า ไม่อยากให้มองว่าประชาชนออกมาทำแล้วบอกว่าทำไม่ถูก
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเวลาที่นายกัน จอมพลัง ชี้แจง กมธ.พยายามสอบถามว่ามีกี่หน่วยงานที่ส่งหนังสือมาเพื่อขอรับความอนุเคราะห์ แต่นายกันไม่ตอบ และบอกว่าขอจบการชี้แจง เพราะติดงานไลฟ์ลูกค้า และไม่ได้บอกว่าจะส่งเอกสารให้กับ กมธ.หรือไม่
Advertisement