วันนี้ (5 ตุลาคม 2568) นายจตุพร พรหมพันธุ์ คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ให้สัมภาษณ์หลังแถลงแสดงจุดยืนว่า ขอขอบคุณแกนนำทุกคน และประชาชน ที่ร่วมรบกันมา เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เวลา เคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่บนท้องถนนมาค่อนชีวิต เลยเป็นครูอาสาไม่เอาเงินเดือน, เคยไปสร้างโรงเรียน 2 แห่ง ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่, เคยเป็น สส. 2 ครั้ง, เข้าคุกมา 5 ครั้ง, มีคดีทางการเมืองยาวเป็นหางว่าว คนเราผ่านชีวิตมาถึง 60 ปี ถ้าเปรียบเป็นข้าราชการก็เป็นวัยเกษียณ แต่ว่าภารกิจในการต่อสู้ภาคประชาชนนั้นไม่มีวันเกษียณ ตราบใดที่ยังมีเรี่ยวแรง ก็จะเดินหน้ากิจกรรมทางการเมืองต่อ ถ้าชีวิตไม่สิ้นก็ต้องสู้กันต่อไปจนกว่าชีวิตจะหากไม่ กันทั้งนั้นเพราะเลือกวิถีทางนี้
เมื่อถามว่าปีนี้อายุ 60 ปีแล้ว หากเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนอื่นก็คงเกษียณไปแล้ว มองทิศทางของตัวเองหลังจากนี้อย่างไร
นายจตุพรระบุว่า ส่วนตัวอยากให้ประเทศเดินในทางที่ถูกต้อง ถ้าเรามีความเชื่อว่าได้ส่งมอบมรดกบ้านเมืองเราเป็นจิ๊กซอว์เล็กๆเราสามารถทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนรุ่นต่อไปได้แล้ว ตราบใดที่ปัญหาของบ้านเมืองหมดไป ก็ไม่มีภารกิจใดๆ ส่วนตัวเชื่อว่าคงต้องต่อสู้จากรุ่นสู่รุ่นอยู่
เมื่อถามถึงที่คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยได้มีการประกาศจุดยืนว่าไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด
นายจตุพร ยืนยันว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาไม่ได้ดูหน้าใคร ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล แต่ดูพฤติกรรมการกระทำ ไม่ได้สนจุดยืน แต่ถ้าสร้างความเสียหายและสร้างปัญหาให้กับชาติบ้านเมือง ก็ไม่มีข้อยกเว้น โดยขอว่าในทุกภาคส่วนต้องทำในสิ่งที่ดีงาม ส่วนไม่มีการผูกติดกับพรรคการเมืองใด เนื่องจากตนไปสมัครสมาชิกพรรคการเมืองใดไม่ได้ แต่ยัง ใช้สิทธิเลือกตั้งได้อยู่ ก็ขอกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน ส่วนรัฐบาลใหม่เราก็มีจุดยืนชัดว่าสิ่งที่ต้องทำและไม่ควรทำคืออะไร อาจทำสิ่งที่ไม่ควรทำภาคประชาชนก็มีมาตรฐานเดียวอยู่แล้ว เคยจัดการกับรัฐบาลก่อนหน้านี้อย่างไร เราก็ดำเนินการอย่างนั้น เพียงแต่ว่าเราแจ้งเพื่อทราบไว้ก่อนว่ารัฐบาลผู้มาใหม่นั้นต้องรู้ว่ารัฐบาลที่ผ่านมาเค้าทำอะไรจนถึงจุดล่มสลาย ถ้าฉลาดก็อย่าไปทำเสีย ถ้าทำก็เจอประชาชนอยู่ดี
ส่วนที่ว่าการเมืองของประเทศไทยมี 3 ก๊กนั้น แต่ที่จริงมี 4 สี่ก๊ก ก๊กที่ 4 คือประชาชน ที่ไม่ได้เข้ากับ 3 ก๊ก เพราะเอาบ้านเมือเป็นตัวตััง ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล จึงที่สามารถแสดงกำหนดทิศทางการเมืองได้
เมื่อถามถึงการแก้ปัญหาชายแดนของรัฐบาลอนุทินในเวลานี้ นายจตุพรระบุว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะมีการทำประชามติ เพราะตอนไปทำก็ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ดังนั้นอย่าเอาเพียงแค่เนื้อหาว่า จะเป็นช่องทางสำหรับไว้พูดคุย แต่การพูดคุยที่ไร้ซึ่งการปฏิบัติกัมพูชามีการละเมิดกว่า 600 ครั้งและเราก็เสียหายมาโดยตลอด ความจริงก็เสียดินแดน ซึ่งตนก็เคยอภิปรายในที่ประชุมสภา ขณะที่มีปัญหากับกัมพูชาในช่วงที่มีการปิดทางขึ้นปราสาทพระวิหาร
โดยกัมพูชาตัดถนนผ่านพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งฝั่งไทยได้ประท้วงไปแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ก็เกิดความเสียหาย วันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ลายลักษณ์อักษร “เป็นบันทึกความเข้าใจ แต่ไม่เคยเข้าใจ” โดยความจริงแล้วการละเมิดจบตั้งแต่กัมพูชาละเมิดแล้ว ประเทศไทยอย่าหาความสุขจากการไปประท้วงที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลง และนี่ยังบอกว่าเป็นช่องทางเดียวในการเจรจา ซึ่งการเจรจาที่ยังมีการละเมิด จะเจรจาไปหาอะไร ถ้าว่างงานนักก็ไปหาอย่างอื่นทำ
ส่วนการแก้ปัญหาของรัฐบาลตนมองว่า ความคืบหน้ามีแค่การพูดเรื่องสร้างรั้ว ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าหูประชาชนมากที่สุด ฉะนั้นฝากถึงนายกฯ จะพูดอะไรให้คิดให้ดีว่าจะพูดเข้าหู หรือ เข้าจมูกประชาชน โดยมีการยกตัวอย่างพลเอกณัฐพล นาคพานิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดอะไรไปเข้าแต่จมูกประชาชน พูดอะไรออกไปประชาชนฉุนหมด เช่นเดียวกับอดีตผู้บัญชาการทหารเรือ ที่เคยพูดว่าจะไม่ทำลายอาคารกาสิโนของกัมพูชา ประชาชนยังไม่ละเว้นเลย เพราะคนไทยเอาชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง เราก็เป็นคนไทย เราก็คิดแบบเดียวกัน
เมื่อถามว่าการแก้ปัญหาชายแดนจะจบในรุ่นนี้หรือไม่ นายจตุพรมองว่า ยังไงก็ต้องจบ ส่วนตัวเชื่อว่าเราไม่ควรจะมาเสียเวลากับศึกนี้ เราจะเสียเวลากับศึกนี้ไม่ได้ถ้าเรายังยืนตัวตรง เพราะว่ากัมพูชาก็ยังรุกล้ำ อธิปไตยของเราแต่ถ้าเรายังกระจอกงอกง่อย เขาก็ไม่มีความวิตกกังวล พร้อมทั้งบอกว่าส่วนตัวรู้จัก กัมพูชาอย่างดี แล้วตนก็เห็นซีกของประเทศไทย หากจะแก้ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาได้ ก็ต้องเด็ดขาด และความรักชาติเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป
ส่วนประเด็นที่ผู้ว่าฯ สระแก้วขีดเส้นตายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ที่จะมีการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานนั้น นายจตุพรระบุว่า เส้นตายวันที่ 10 ตุลาคมที่ว่า นายอนุทิน ก็ออกมายืนยันชัดเจนว่าผู้ว่าฯ สระแก้วเป็นคนกำหนดไทม์ไลน์นี้เอง
ฉะนั้นเป็นที่ผู้ว่าฯ สระแก้วต้องรับผิดชอบ ถ้าประกาศแล้วทำไม่ได้ ก็อย่ามีน้ำหน้ามาเป็นผู้ว่าฯสระแก้ว เพราะว่าเขาประกาศใช้หน้าความเป็นประเทศไทย และมันก็สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของประเทศไทย
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังให้ความเห็นอีกว่าหากผู้ว่าฯ สระแก้วทำในพื้นที่บ้านหนองจานสำเร็จ พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 11 จุดที่ถูกล้ำก็จะถูกขยับโดยมีนัยยะสำคัญ แต่ถ้าวันที่ 10 ตุลาคมเกิดหน่อมแน้ม ทำไม่สำเร็จความเสียหายก็จะเกิดขึ้น
ส่วนตึกของกัมพูชาที่สร้างล้ำเข้ามาในเขตแดนประเทศไทย ก็ให้ระเบิดทิ้งซะ เนื่องจากต้องทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง กลับกันพอคนไทยข้ามเข้ากัมพูชาผิดกฎหมาย ก็ฝ่ายกัมพูชาจับกุม เพราะกัมพูชาเองก็มีมาตรฐานของเขา แต่ประเทศไทยเป็นประเทศ ที่ไร้มาตรฐานปล่อยปละละเลย เพราะฉะนั้นประตูบานใหญ่คือการยกเลิก MOU ส่วน ในอนาคตค่อยว่ากันอาจจะมี MOU 68/69 ซึ่งถ้าเกิดกัมพูชาละเมิดก็แค่ยกเลิก MOU แต่ถ้าไทยยังมี MOU แต่ถูกกัมพูชาละเมิดไทยก็ถือว่าไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นชาติบ้านเมือง
เมื่อถาม ถึงประเด็น ประเด็นเรื่องการผลักดันเรื่องการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่อธิปไตยไทยจะเกิดขั้นใช้ความรุนแรงหรือไม่
นายจตุพรตอบว่า อย่ากลัวเรื่องความรุนแรง เพราะไทยต้องผลักดันชาวกัมพูชาออกจากดินแดนไทย และ ต้องมีการจับกุมเนื่องจากชาวกัมพูชาเหล่านี้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เรื่องนี้ตนมองว่า “ง่ายนิดเดียว” โดยมีการยกตัวอย่างกรณีของนายวีระ สมความคิด ที่ ฝ่ายกัมพูชาที่ถูกฝ่ายกัมพูชาจับกุม กรณีของไทยก็เหมือนกัน เรื่องนี้เพียงแค่เอาจริง อย่างกรณีกัมพูชาไม่รื้อ หรือย้ายออกจากพื้นที่ เนื่องจากกัมพูชารู้ว่าน้ำหน้าอย่างคนไทยไม่เอาจริง ดังนั้นผู้ว่าฯ สระแก้ว ตนไม่รู้ว่าจ่อปากผู้ว่าฯ นะ แต่คุณต้องรับผิดชอบ เพราะผู้ว่าฯ พูดไปแล้วว่าจะผลักดันชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจาน ไม่เช่นนั้นจะเอาจุดอื่นได้ยาก เพราะจุดนั้นแค่ 90 กว่าหลัง ตนมองว่า ไม่ยากในการเข้าไปรื้อถอน เพราะบางที่มากกว่านั้นอีก เรายังมีปัญญาจัดการกันได้ ซึ่งในกรณีนี้เราก็มีความชอบธรรมเพียงพอ ปัญหามนุษยธรรมมันก็ขีดเส้น แต่การรุกล้ำอธิปไตย มันคนละเรื่องกัน ซึ่งไทยก็มีหน้าที่แค่ผลักดันกัมพูชาออกจากอธิปไตยไทย ถ้ากัมพูชาไม่ยอมออกเราก็จับกุม
ขณะที่ประเด็นเรื่องประสาทคนา จ.สุรินทร์ ที่มีกระแสข่าวว่ากัมพูชาไปตั้งฐานทหารนั้น
นายจตุพร ยืนยันว่าเขา (ทหาร) ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของกัมพูชาที่มายึด เพราะหากกัมพูชายึดพื้นที่ จริงทหารไทยคงต้องผลักดันออกไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เรายอมให้มีการละเมิดไม่ได้
นักข่าวถามความเห็นว่า หากพบหลักฐานว่ากัมพูชาละเมิดจริง ควรผลักดันออกไปหรือไม่ นายจตุพรบอกว่า ขณะนี้เขายังปฏิเสธกันอยู่ ว่ายังไม่มีการยึดปราสาทคนา เพราะ เขาต้องพิสูจน์ว่าไม่มีการยึดจริง แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าละเมิดก็ต้องผลักดัน แต่ถ้าไม่มีปัญญาทำ ประชาชนจะทำเอง
อย่างไรก็ตาม คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ระหว่างการพิจารณาที่จะนำข้อเสนอไปยื่นต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนจะเป็นวันเวลาใดนั้นในสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจน
Advertisement