วันนี้ (5 ตุลาคม 2568) เมื่อช่วง 10.00 น. ที่ผ่านมาคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย จีดเสวนาหัวข้อ “ประเทศไทยต้องมาก่อนต้องอยู่การเมืองไร้คุณธรรม" ที่พีซทีวี กรุงเทพมหานคร โดยมีแกนนำและอดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนเดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก เนื่องจากเป็นวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มฯ
ก่อนเริ่มงานเสวนาได้มีการจัดทำบุญในโอกาสครบรอบวันเกิด 60 ปี ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิป โดยได้มีการนิมนต์พระสงฆ์ 10 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล
หลังจากทำบุญเสร็จสิ้นแล้วเหล่าแกนนำขึ้นประกาศจุดยืนของคณะรวมพลังแผ่นดินบนเวทีในเวลา 12.00 น. นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำคปท. นายนิติธร ล้ำเหลือ กลุ่มคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย และทนายความ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี
โดยแกนนำได้แถลงจุดยืนของกลุ่มในหลายประเด็น อาทิเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องการยกเลิก MOU 43 รวมถึงยังแสดงจุดยืนชัดเจนที่จะไม่สนับสนุนทุกพรรคการเมืองและนักการเมืองคนใดทั้งสิ้น
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. กล่าวเปิดเวทีแสดงจุดยืนว่า หลังจากที่มีรัฐบาลใหม่ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องแก้ปัญหาประเทศชาติ ให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู 43, 44 และยกเลิกแผนที่มาตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งยังไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะยังมีวาระของประเทศสำคัญกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร่งด่วน โดยจะตรวจสอบทุกรัฐบาล ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะที่นายนิติธร ล้ำเหลือ กลุ่มคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย และทนายความ กล่าวเป็นคนแรกถึง จุดยืนชัดเจนของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยว่า เราไม่สนับสนุนพรรคการเมืองทุกพรรคและไม่สนับสนุนนักการเมืองคนใดทั้งสิ้น ภารกิจคือการปกป้องอธิปไตยของชาติ ซึ่งการเดินหน้าภาคประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยสร้างคุณธรรมในแผ่นดินนี้ และการเมืองนับจากนี้ต้อเดินหน้าด้วยคุณธรรม เราอยู่กับรัฐบาลใหม่มา 5 วัน หลังแถลงนโยบาย หน้าตาของรัฐบาลในขณะนี้พูดได้เต็มปากว่ามีลักษณะของหนูไม่สะอาด ตนเชื่อว่าก่อนครบ 4 เดือนนี้ จะเข้าสู่หนูสกปรกแน่นอน สิ่งที่โดดเด่นของรัฐบาลนี้ มากที่สุดคือ
เมื่อวานนี้วันนี้กลับคำโกหกหลอกลวงประชาชน เราดูได้ตั้งแต่อำนาจ อธิปไตยของแผ่นดิน และเรื่อง MOU 43-44 ความเปลี่ยนแปลงแต่ก่อน-หลังเป็นนายกฯ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกเรื่องที่ เป็นภาระของประชาชน ฉะนัันเพื่อให้คุณธรรมนำการเมืองจะไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 เพราะเงื่อนไขที่ทุกพรรคการเมืองพูดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็น ประชาธิปไตยร่างโดยคสช. แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงมติประชามติเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเงื่อนไขที่ต้องการแก้ไขคือบทเฉพาะกาล ซึ่งได้สิ้นสุดไปแล้ว ไม่มีประเด็นอื่นใดที่ต้องแก้ตามใจนักการเมือง ขนาดนี้ที่ต้องดิ้นกันแก้ เพราะผลจากรัฐรัฐบาลฉบับนี้โดยเฉพาะมาตรา 160 เป็นว่าด้วยเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ตาม (4) ส่วน (5) ไม่ประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งสองวรรคนี้ จัดการนายเศรษฐาทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวแพทองธาร ชินวัตรไปเรียบร้อยแล้ว นักการเมืองที่กัดเซาะบ่อนทำลายประเทศชาติและสถาบันไปหลายคน ฉะนั้น เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยเฉพาะมาตรา 160 กำลังเดินหน้าโดยภาคประชาชน เพื่อตรวจสอบ หากพบข้อมูลจะจัดการนายอนุทิน ชาญวีรกูล และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รวมถึงอีกหลายคน
พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตถึงการที่รัฐมนตรียุติธรรม อย่างชัดเจนว่ามีข้อสงสัยว่าแทรกแซงการทำงานเพราะเอาพนักงานสอบสวนที่สอบคดีฮั้วสว. สอบคดีเขากระโดง สอบคดีสนามบิน เข้ามานั่งเป็นคณะทำงานของรัฐมนตรี แสดงว่าผลประโยชน์ขัดกันเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นเพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 คือ อาวุธของประชาชนที่รักชาติรักแผ่นดิน ปล่อยให้แก้ไม่ได้ แต่ถ้าจะแก้ ตนเสนอให้ขยายผลของมาตรา 160 เรื่องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ ประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรม ขยายไปให้ถึงคุณสมบัติของสส. ไม่ใช่เฉพาะรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมีแกนนำอีกหลายคนทยอยพูดอวยพรวันเกิดนายจตุพร และพูดถึงจุดยืนเรื่องการยกเลิก MOU 43-44 รวมถึงสถานการณ์เมืองไทย มีการพูดถึงสนับสนุนให้คนดีปกครองบ้านเมืองและสนับสนุนไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ
ขณะนายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่าประชาชนต้องร่วมกันกำจัดระบบทุนนิยม สิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไข 2 เรื่อง คือ รวยกระจุกจนกระจาย และการทุจริตคอรัปชั่น ต้องเปลี่ยนแปลงให้การเมืองเป็นการเมืองที่สุจริต โดยพลังของประชาชน
ต่อมาพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย หลังจากเกษียณอายุราชการก็มาเล่นการเมือง หวังเพื่อทำประโยชน์ใหัแก่ประเทศชาติ แต่พอมาเห็นสภาพนักการเมืองแย่งตำแหน่งเหมือนสุนัขแย่งชามข้าว ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน ก็รับไม่ได้ การแก้รัฐธรรมนูญก็ทำไปเพื่อประโยชน์หัวหน้าการเมืองเอง ซึ่งเห็นว่าไม่ควรแก้ทั้งฉบับ แต่ให้แก้เป็นบางส่วน เช่น การปล่อยให้ ส.ส.มีอิสระจนไม่เคารพพรรคการเมืองที่ตนตนเองสังกัด จนถูกซื้อตัวย้ายไปอยู่พรรคอื่นได้ (มีตัวอย่างให้เห็นอย่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคกล้าธรรม) เช่นเดียวกับเอ็มโอยูซี 43, 44 ถ้าไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ควรจะไปรับรอง ยกเลิกไปเสีย
ส่วนนายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี เปิดเผยว่า เอ็มโอยู 43 และ 44 เป็นเอ็มโอยูที่มีปัญหา ที่สำคัญคือมาตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุในเอ็มโอยู 43 เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา ทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์ กัมพูชาเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ MOU 44 เกิดขึ้นเพราะความงกของนักการเมือง ที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติ รัฐบาลนายอนุทินจึงต้องแสดงความกล้าหาญโดยการยกเลิกเอ็มโออยู่ทั้ง 2 ฉบับ
และช่วงท้ายของการแถลงแสดงจุดยืนของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นายจตุพร ได้ลุกขึ้นกล่าวเป็นคนสุดท้ายในการแถลงจุดยืน โดยพูดถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองไทย ที่มี 3 หรือที่เรียกว่าไทย 3 ฝ่าย แต่ปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นมา 1 ฝ่าย รวมเป็น 4 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายที่เพิ่มมา คือ ฝ่ายประชาชนนั่งอยู่ ที่จะมีส่วนกำหนดอนาคตของชาติอย่างมีนัยยะ ซึ่งไม่ต้องดูที่ไหนไกล ดูแค่ 2 รัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐบาลใหม่ในปัจจุบัน มีเรื่องอะไรบ้างที่ภาคประชาชนลุกขึ้นมาจัดการแล้วไม่ประสบความสำเร็จบ้าง ประชาชนชนะมาโดยตลอด เพียงแต่เราไม่ได้เข้าไปแข่งในการในเชิงอำนาจเท่านั้น วันนี้ตนเองต้องการสื่อสารไปถึงรัฐบาลอนุทินฯ เรื่อง MOU 43-44 ไม่ต้องรอประชามติ รัฐบาลต้องใช้ความกล้าหาญในการยกเลิกทันที ถ้าไม่กล้าก็ออกไปอย่าได้เสียเวลา
ส่วนสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ณ วันนี้ ถ้ายังอยู่ในสภาพนี้ต่อไป ประเทศไทยไม่มีเวลาไปทำมาหากินอย่างอื่นแน่นอน ดังนั้นวันนี้ต้องความเด็ดขาด เพราะMOU 43-44 ที่เป็นปัญหาของชาตินั้น ความจริงถูกฉีกมาตั้งแต่กัมพูชาละเมิดตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่ปล่อยให้กัมพูชาละเมิดกว่า 600 ครั้งเช่นนี้ มันเหมือนกัมพูชาเดินมาตบหน้าดัง “เปรี้ยะ”
นอกจากนี้ ตนยังมองว่า รัฐบาลชอบให้กัมพูชาละเมิดเพื่อที่ตัวเองมีความสุข ที่ได้ประท้วงกัมพูชา ดังนั้นต่อให้มีการสร้างรั้ว หรือขีดเส้นตายผลักดันกัมพูชาในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ถ้าผู้ว่าฯ สระแก้วไม่จริงจัง ก็เท่ากับเป็นการขีดเส้นตายให้กับผู้ว่าฯ สระแก้วเหมือนกัน
Advertisement