นายอนุทิน ชาญกุล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า มีเรื่องพิจารณา 3 เรื่อง ซึ่งรายละเอียดอื่นๆให้ทางเลขาฯ สมช. ชี้แจง โดยในหลักการได้มีการอนุมัติกรอบการสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนรายละเอียดเป็นหน้าที่ของกองบัญชาการกองทัพไทยเป็นผู้นำดำเนินการ ซึ่งการสร้างรั้วมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ และความสะดวกของประชาชนในพื้นที่
เมื่อถามถึงนโยบายในการผลักดันชาวกัมพูชาที่ลุกลามอธิปไตยของไทยบริเวณบ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้วอำเภอโคกสูงจังหวัดสระแก้วอย่างไร ซึ่งในวันที่ 10 ต.ค. นี้ จะครบเส้นตายที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ขีดเส้นเอาไว้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องใช้กฎหมายที่ถูกต้องและต้องคำนึงหลักมนุษยธรรม รวมถึงผลกระทบที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึก พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ซึ่งกองทัพบก จะต้องไปหารือกับผู้ว่าจังหวัดสระแก้ว รวมถึงกระทรวงมหาดไทย
เมื่อถามว่าจะถึงขั้นใช้กำลังผลักดันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า นี่คือประชาชน ไม่ใช่ทหาร เราต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตเนื่องจากคนลำบากอยู่แล้วมีทั้งเด็ก สตรี คนชรา พร้อมทั้งยืนยันว่า รัฐบาลจะผลักดัน ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำออกจากพื้นที่ ในเวลาที่เหมาะสม
เมื่อถามว่ามีการระบุเป็นไทม์ไลน์หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า วันเวลาขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และคงไม่ใช่วันที่ 10 ต.ค. นี้
เมื่อถามว่าเสียงสะท้อนของประชาชนในพื้นที่จะกดดันรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจ พร้อมทั้งระบุว่า การประชุมสมช.วันนี้ ไม่ได้มีการหารือถึงการยกเลิกเอ็มโอยู 43 ซึ่งให้เป็นเรื่องของสภาดำเนินการ
เมื่อถามว่า ในที่ประชุมจะมีแนวทางหรือมาตรการอย่างไรในการกดดันให้กัมพูชาทำตามข้อตกลง เช่น การถอนเอาหนักและกำลังทหารออกจากพื้นที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะจะใช้กรอบการประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทยกัมพูชา (GBC) ที่มีพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฝ่ายไทย และได้ประชุมมาก่อน ซึ่งเราก็ยังยืนยันจุดยืนว่าก่อนที่จะมีการดำเนินการใดๆ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่เราต้องการให้กัมพูชาดำเนินการก่อน
เมื่อถามว่าการประชุมอาร์บีซีและจีบีซีที่ผ่านมาเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง ไม่ยอมไปไหน นายกรัฐมนตรี ตอบทันทีว่า จากนี้ไปก็จะเริ่มไปไหนแล้ว
อีกทั้งยังมีความคืบหน้าของการเจรจา อย่างกรณีที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงในเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ UN)ในการชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกบิดบิดเบือนไป ซึ่งมองว่าจะนำไปสู่การเจรจา
ส่วนที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลมุ่งหวังจะใช้เวทีต่างประเทศ ในการกดดันทางกัมพูชามากกว่าการใช้กำลังทางทหารใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุ ว่าก็ต้องใช้ควบคู่กันไป ในส่วนของกองทัพ ก็ต้องมีความพร้อม โดยเราไปบอกที่สหประชาชาติว่าเราไม่ใช่ผู้รุกราน แต่เป็นเราต่างหากที่ถูกรุกราน ฉะนั้นเราต้องรักษาสถานะตรงนี้ เพราะเราไปยืนยันว่า เราเป็นผู้ที่ถูกรุกราน แต่เรื่องของการป้องกันอธิปไตย ทางกองทัพมีความพร้อมในการป้องกันอธิปไตยและแผ่นดิน ซึ่งตนได้รับการยืนยันมาจากกองทัพและรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนกองทัพ ดูได้จากผลการ ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกในการอนุมัติงบประมาณกว่า 800 ล้าน เพื่อเสริมสร้างความพร้อมของกองทัพ ปกป้องแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย
เมื่อถามย้ำว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไรกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงอาร์บีซีและจีบีซี นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกวันนี้ก็กดดันอยู่กลายๆ แล้ว
เมื่อถามว่าปัจจุบันนี้ทางกัมพูชาได้ตอบรับอะไรมาบ้างหรือไม่หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวในเวทีUN นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่เราได้ทำไปและและการตอบรับไม่เหมือนกับการที่เราพูดคุยกันอยู่ในตอนนี้ การติดต่อมาของประเทศที่อจากให้ให้เกิดสันติภาพ เพื่อเสนอแนวทางต่างๆนี่ก็คือการตอบรับ บางครั้งไม่ได้พูดกันโดยตรง แต่มีการสื่อสาร ที่ทำให้เราสามารถรับรู้ได้ว่า เพื่อนำไปสู่การตอบรับหรือดำเนินการใดๆ ของทั้งสองประเทศให้ดีขึ้น
เมื่อถามว่าสถานการณ์ปัจจุบันกัมพูชายังไม่ตอบรับในหลายประเด็น เช่น การทำแผนอพยพออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว รวมถึงการไม่ร่วมเก็บกู้วัตถุระเบิด ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นเหตุ นายอนุทิน กล่าวว่า เราก็ไม่ตอบสนองอะไรกับเขา ดังนั้นสิ่งที่เขาอยากให้เราดำเนินการ เช่นการเปิดด่านหรือขอให้ช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ เราก็ไม่ทำ ซึ่งตนไม่อยากใช้คำว่ากดดัน เพราะทุกวันนี้ก็กดดันกันมากอยู่แล้ว ควรหาวิธีที่จะสื่อไปให้เห็นว่า เราพร้อมหากจะอยู่กันไปแบบนี้ แต่ถ้าอยากให้ชีวิตประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองดีขึ้น เขาก็ต้องตอบรับข้อเสนอเรา
Advertisement