วันที่ 9 ก.ย. 68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาได้กล่าวอ้างผ่านสื่อต่างประเทศ ว่าฝ่ายไทยใช้อาวุธยิงสนับสนุนในการปฏิบัติการทางทหาร จนส่งผลให้ปราสาทพระวิหารได้รับความเสียหายในช่วงการสู้รบที่ผ่านมานั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
โดยโฆษกกองทัพบกยืนยันว่า การปฏิบัติของกำลังทหารไทยมีเป้าหมายอย่างชัดเจนในการตอบโต้เฉพาะต่อกำลังทหารฝ่ายกัมพูชา มิได้มุ่งเป้าไปยังพื้นที่พลเรือน หรือสถานที่ใดๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารไม่ได้อยู่ในแนวทิศทางการใช้อาวุธของฝ่ายไทย จึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะได้รับผลกระทบตามที่กัมพูชาได้กล่าวอ้าง
ประกอบกับตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การปฏิบัติการทางทหารของไทยเป็นไปตามสิทธิในการป้องกันตนเอง ตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 เพื่อป้องกันพื้นที่และเผชิญกับกำลังทหารกัมพูชาที่เข้ามาคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ หลังจากที่ฝ่ายทหารกัมพูชาเปิดฉากยิง เมื่อ 24 ก.ค. 68 และใช้การโจมตีโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อภาคพลเรือนและประชาชนผู้บริสุทธิ์ ดังที่ได้ปรากฏภาพความเสียหายต่างๆ ในพื้นที่โรงพยาบาล, โรงเรียน, ปั๊มน้ำมัน, ร้านสะดวกซื้อ และบ้านเรือนประชาชน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จากการที่กองทัพบกได้ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่รวบรวมหลักฐานความเสียหายในบริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นโบราณสถานที่สำคัญของ จ.สุรินทร์ พบว่าผนังและกำแพงของปราสาทได้รับความเสียหายจากกระสุนปืน รวมทั้งพบลูกระเบิดที่รอการเก็บกู้ และในส่วนของพื้นที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ยังได้ปรากฏหลักฐานจากภาพถ่ายและวิดีโอว่าพบทหารกัมพูชาเข้าไปตั้งฐานที่มั่นเพื่อใช้ปฏิบัติการทางทหารในบริเวณปราสาทด้วย ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ ถือว่าเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการโจมตีต่อโบราณสถานที่สำคัญ และการปรับปรุงฐานที่มั่นทางทหารหลังข้อตกลงหยุดยิง
สำหรับรายละเอียดทั้งหมดนี้ เป็นหลักฐานชี้ชัดว่ากัมพูชายังคงพยายามนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนผ่านสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ ที่ไม่ตรงกับการกระทำหรือหลักฐานที่ปรากฏ ทั้งยังกล่าวอ้างสร้างผลกระทบต่อประเทศไทย โดยกองทัพบกขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการอย่างรอบคอบภายใต้หลักมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ โดยมิให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลหรือทรัพย์สินที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางทหาร และขอเรียกร้องให้กัมพูชาเสนอข้อมูลและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาและดูแลพื้นที่ชายแดนอย่างสันติวิธี
Advertisement