วันที่ 24 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ออกหนังสือนัดประชุมวุฒิสภาในวันที่ 25 - 26 ส.ค. ทั้งนี้มีวาระพิจารณาที่น่าสนใจ ในวันที่ 26 ส.ค. คือญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เสนอโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. และคณะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับสาระสำคัญที่ พล.อ.สวัสดิ์ เสนอญัตติดังกล่าว เพื่อเป็นการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมมพูชา และสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนไทยอย่างยั่งยืน พร้อมระบุในสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า การปะทะระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาตามแนวชายแดนหลายพื้นที่ เพราะยึดถือแผนที่ที่มีมาตราส่วนต่างกัน ทั้งนี้รัฐบาลไทยปัจจุบันควรยืนยันกับกัมพูชาให้เข้าใจ ว่าไทยไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แต่เมื่อปี 2543 รัฐบาลยุคนั้นได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก หรือ เอ็มโอยู 2543 ซึ่งมีสาระสำคัญในข้อ 1 ว่า ไทยกับกัมพูชาจะร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกให้เป็นไปตามเอกสาร 3 รายการ โดยรายการที่ 3 คือแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามข้อตกลงของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสปี 2447 และ 2450 คือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และผู้นำกัมพูชายืนยันยึดแผนที่ดังกล่าวตลอด
หากรัฐบาลมีความจริงใจไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน จริง และเพื่อให้การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของทหารของไทยในการยืนหยัดพิทักษ์อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนตามแนวปฏิบัติการ 1 ต่อ 5 หมื่น เป็นไปอย่างมีคุณค่าสูงสุดรัฐบาลต้องพิจารณายกเลิก MOU 2543 ที่กัมพูชาเคารพ MOU 2543 เพียงข้อ 1 ที่ให้สำรจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเท่านั้น ส่วนข้ออื่นที่สำคัญ คือ ข้อ 5 และข้อ 8 กัมพูชาละเมิดแล้ว การคงข้อตกลงที่ฝ่ายหนึ่งจงใจไม่ปฏิบัติตามอย่างชัดแจ้งหามีประโยชน์ไม่
สาระของญัตติดังกล่าว ยังระบุต่อว่า นอกจากนี้ไทยกับกัมพูชามีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล จึงได้ทำ MOU 2544 เพื่อหาข้อสรุปเรื่องการปักปันเขตแดนว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา โดยเส้นเขตไหล่ทวีของไทยมีเส้นเดียวคือ เส้นตามประกาศพระบรมราชโองการในวันที่ 29 พ.ค.2516 และยืนหยัดพิทักษ์ปกป้องโดยทุกวิถีทางมา 29 ปี แต่นับจากที่ได้ลงนาม MOU 2544 คือ 18 มิ.ย.2544 เท่ากับไทยยอมรรับการคงอยู่ของเส้นไหล่ทวี ค.ศ.1972 ทำให้เส้นเขตไหล่ทวีปถูกแปรเป็นสอง และเกิดพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 2.6 หมื่น ตร.กม.
ไม่ว่าผลการแบ่งเขตแดนเป็นอย่างไร ไทยต้องเสียทั้งเขตแดนและผลประโยชน์ ซึ่งสาระใน MOU. 2544 เป็นคุณต่อกัมพูชามากกว่าไทยในพื้นที่ทั้ง 2 ส่วนของข้อตกลง คือส่วนบนละติจูด 11 องศาเหนือ และส่วนล่างเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เท่ากับกัมพูชาได้รับผลกระโยชน์ในส่วนที่ไม่ควรได้รับ. หรือทำให้ไทยไม่ได้รับประโยชน์ในส่วนที่ควรได้รับ ดังนั้นรัฐบาลควรยกเลิก MOU 2544 เช่นเดียวกัน แต่การยกเลิกนั้นเป็นความซับซ้อนและละเอียดอ่อน จึงสมควรที่วุฒิสภาจะตั้ง กมธ.ศึกษาข้อดี-ข้อเสียการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ
Advertisement