วันที่ 7 ต.ค.2568 กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และ กลุ่มกองทัพธรรม นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ นายใจเพชร กล้าจน(หมอเขียว) จัดการชุมนุมเพื่อเรียกร้อง การคัดค้าน ร่างพ.ร.บ.การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) , ยกเลิก MOU43, MOU44 และขอให้รัฐบาลยึดมาตราส่วนแผนที่ 1:50,000 ตามหลักสากล ที่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 ยกเลิกนโยบายแก้ปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์โดยให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ได้เพิ่มขึ้นจาก 49% เป็น 75% ต่อโครงการ และยกเลิกผลักดันร่างแก้ไข พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ ขยายเวลาเช่าอสังหาริมทรัพย์จาก 30 ปี เป็น 99 ปีฯลฯ
นายพิชิต ได้ขึ้นกล่าวปราศรัย ว่าการทำกิจกรรมของกลุ่มในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก ประเทศ มีวาระเร่งด่วนที่สำคัญหลายเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้สร้างขึ้นคือปัญหาความขัดแย้งและกลุ่มยังต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความชัดเจนในเรื่องของการยกเลิก MOU 43 - 44 เพราะก่อนเข้ามามีอำนาจเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาแสดงผลยืนว่าต้องยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว แต่เมื่อเข้ามามีอำนาจแล้ว รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย กลับเสนอให้มีการทำประชามติ ซึ่งกลุ่มไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการผลักภาระให้กับประชาชน สิ่งที่ตนต้องการเรียกร้องในเรื่องของการยกเลิกนโยบายคาสิโนและการพนัน อย่างถาวร , ยกเลิกการให้สิทธิเช่าที่ดิน 99 ปี , เรื่องการรักษาอธิปไตยของไทย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาพื้นที่บ้านหนองจาน หากวันที่ 10 ต.ค.68 ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทางกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องออกมาแสดงพลังครั้งใหญ่กันอีกครั้ง , และเรื่องของสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำอธิปไตยของไทยที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งสิ่งปลูกสร้างนี้ กลุ่มมองว่าต้องทำลายทิ้งทันที เพราะเป็นการสร้างอาคารที่ผิดกฎหมาย หากทำลายทิ้งจะสร้างความยำเกรงต่อท่าทีของทหารไทยได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่อง การยกเลิกแลนด์บริดจ์ เพราะเป็นโครงการที่เอื้อ ที่ดินให้กับนายทุนก่อ 300,000 ไร่ รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กลุ่มมองว่ายังไม่มีความจำเป็น ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในตอนนี้
จากนั้นเวลา 10.00 น. กลุ่มคปท. ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ออกมารับหนังสือ
โดยนายภราดร กล่าวว่า จากนี้จะมีการหารือกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องซึ่งเห็นด้วยกับการเปิดเวทีเพื่อให้ประชาชนและนักวิชาการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการ MOU 43 และ 44 ทั้งเห็นด้วยกับการยกเลิกและไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เพราะถ้าหากจะต้องเดินหน้าไปถึงการทำประชามติประชาชนจะได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ด้วย
ส่วนที่ผลโพลล่าสุดประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึง MOU 43 และ 44 รัฐบาลจะมีการทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างไร นายภราดร กล่าวว่า จึงเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งคิดว่าทางที่ดีที่สุดควรนำทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนให้ยกเลิก MOU 43 และ 44 มาดีเบตกันมาให้ความรู้กับประชาชนที่ต้องมีอย่างสม่ำเสมอส่วนจะเริ่มเวทีแรกได้ เมื่อไหร่ต้องมีการหารือกับทางนายกรัฐมนตรีก่อน
ส่วนมองอย่างไรหลังจากที่มีประเด็นเกี่ยวกับการทำประชามติยกเลิก MOU 43 และ 44 ก็มีกระแสสังคม นายภราดร กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อให้ได้รู้ว่า MOU 43 และ 44 คืออะไร เพื่อจะได้นำไปสู่การทำประชามติได้ หากจะต้องทำประชามติ
Advertisement